Wednesday, February 26, 2014

[Sample] The Pink Triangle: Chapter 5

The Pink Triangle





Written and finished by me in Autumn, 2012






For those who still hate.






For them victims of prejudice.








เมื่อห้าปีก่อนในคาบวิชาประวัติศาสตร์ ศาสตราจารย์ฟเลโทตั้งคำถามว่า สามเหลี่ยมสีชมพูในวงกลมสีเขียวคืออะไร?

ผมจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ติดตาเหมือนดูวีดีโอที่เล่นภาพซ้ำไปซ้ำมา วิชาประวัติศาสตร์เป็นคาบเรียนสุดท้ายของวัน ทุกคนรอฟังเสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนด้วยใจจดจ่อ เหล่านักศึกษาที่ไม่ได้มีใจใฝ่ศึกษานั่งนับลมหายใจเข้าออกรอให้เข็มนาฬิกา ชี้บอกเวลาห้าโมงตรง ผมนั่งเท้าคางอยู่บนอัฒจันทร์ชั้นสาม แถวกลางห้อง ขนาบด้วยคริสและพอลล่าเพื่อนสนิท คริสนั่งสับปะหงก เขาผงกหัวขึ้นมองกระดานดำเมื่อได้ยินเสียงศาสตราจารย์โยนชอล์กลงราง ผมก้มมองนาฬิกา เหลือเวลาอีกห้านาที ห้านาที หลังจากนั้นผมก็จะเป็นอิสระจากประวัติศาสตร์ เป็นอิสระจากอดีตที่หลายต่อหลายคนคิดว่าไร้ค่า เพราะขึ้นชื่อว่าอดีต ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะหวนกลับมา

ศาสตราจารย์กุสตาฟ ฟเลโทกวาดตามองนักศึกษาบนอัฒจันทร์อย่างใจเย็นในขณะที่ทุกคนพากันหลบตาวูบวาบเพราะกลัวถูกเรียกให้ตอบคำถาม

ผมไม่เคยเห็นใครสมเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์เท่าฟเลโทมาก่อน เขามักจะสวมเสวตเตอร์เก่าๆ ทับเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมเสื้อโค้ดสีกากีในวันที่อากาศหนาว สะพายกระเป๋าหนังยับเยินบรรจุตำราและม้วนกระดาษเหลืองๆ แว่นตากรอบกลมเฉิ่มเชยเหมือนแฟชั่นยุคแฮรี่ พอตเตอร์พาดอยู่เหนือหน้าผากใต้ไรผมสีดอกเลา ใบหน้าคมสันเปื้อนเคราครึ้มแต่งแต้มร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ตรงมุมปากและ หางตา สิ่งเดียวในตัวเขาที่อายุไม่ถึงครึ่งศตวรรษคือรองเท้าผ้าใบไนกี้แอร์แม็กซ์

ฟเลโทเป็นชาวเยอรมันที่เดียดฉันท์แนวคิดของพรรคนาซี เช่นเดียวกับชาวเยอรมันส่วนใหญ่ซึ่งต่างก็คิดว่าพรรคนาซีคือจุดด่างพร้อย ทั้งการกระทำของพรรคนาซีก็เป็นสิ่งที่น่าอับอาย แต่แทนที่ฟเลโทจะหลีกเลี่ยงการพูดถึงความผิดพลาดของบรรพบุรุษที่เรียกได้ว่า เหม็นคาวเลือดที่สุดบนหน้าประวัติศาสตร์นั้น เขากลับหยิบยกตราบาปในรูปเครื่องหมายสวัสดิกะมาเป็นหัวข้อการเรียนการสอน ครั้งแล้วครั้งเล่า

"สามเหลี่ยมสีชมพูในวงกลมสีเขียว ใครตอบได้บ้าง?" ฟเลโททวนคำถาม

สัญลักษณ์ของการเรียกร้องสิทธิ์ของพวกรักร่วมเพศ

สามเหลี่ยมคว่ำสีชมพู คือเศษผ้าผืนเล็กๆ บนอกของนักโทษกลุ่มหนึ่งในค่ายกักกันนักโทษของพรรคนาซี สีชมพูเป็นสีหนึ่งในจำนวนเจ็ดสี ใช้สำหรับคัดแยกผู้ที่ทำความผิดทางเพศออกจากสีอื่นๆ นักโทษที่ติดป้ายสีชมพูส่วนใหญ่แล้วคือพวกรักร่วมเพศ ส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นผู้ร้ายข่มขืนหรือพวกกระทำชำเราเด็ก สามเหลี่ยมสีชมพูนั้นถือกันว่าเป็นเครื่องหมายแห่งความอัปยศอดสู

ทั้งห้องเงียบเป็นเป่าสาก ได้ยินก็แต่เสียงเครื่องปรับอากาศครางหึ่ง บางคนหลับใน บ้างไม่ได้ฟังคำถาม บ้างไม่รู้คำตอบ บางคนรู้... แต่ไม่กล้าตอบ ผมเป็นพวกหลัง คำติฉินนินทาที่ล่องลอยมาตามสายลมรั้งมือเราไว้บนตัก สายตาดูถูกดูแคลนลับหลังสั่งให้เราปิดปากเงียบ พอลล่าชี้นิ้วไปยังอัฒจันทร์แถวหน้าสุดแล้วแกล้งทำเป็นกระซิบกระซาบกับผมและ คริสด้วยเสียงอันดัง ดัง...พอให้คนทั้งห้องได้ยิน

"เรื่องแบบนี้ต้องถามเทย์เลอร์"

เสียงหัวเราะผุดพราวขึ้นจากทั่วทุกหัวระแหง ผมมองเทย์เลอร์ด้วยแววตาเย็นชา ใบหน้าร้อนผ่าว แผ่นหลังหนาวยะเยือก








"นิโก้เป็นตุ๊ด!"

"วิปริต!"



ช่วงพักกลางวัน ระเบียงทางเดินเต็มไปด้วยร่างเล็กๆ ของเด็กนักเรียนที่จับกลุ่มคุยกันอยู่หน้าล็อกเกอร์ อากาศอบอ้าวด้วยไอแดดและกลิ่นฝนที่หลงเหลือมาจากช่วงเช้า พัดลมติดเพดานเก่าโบราณหมุนอย่างเชื่องช้าราวกับตุ๊กตาสังกะสีใกล้หมดลาน ไม่มีใครหวังให้มันผลิตลมมานานนับทศวรรษ ผมหอบแฟ้มเอกสารออกจากห้องสมุด เดินเหงื่อแตกลัดเลาะผ่านเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจมุ่งหน้าไปยังห้องพักครู ชายเนคไทพาดอยู่บนไหล่ขวา เสื้อแจ็กเก็ตพาดอยู่บนไหล่ซ้าย อากาศร้อนขนาดนี้จะให้ใส่สูทครบเครื่องยังไงไหว ผมไม่มีสอนในช่วงบ่าย ถึงกระนั้นก็ต้องตรวจการบ้านและเตรียมการสอนของวันถัดไป อาชีพครูไม่ได้ว่างงานอย่างที่ใครๆ คิดกันหรอกนะ ทั้งๆ ที่กะว่าจะเจียดเวลาช่วงพักกลางวันสักสิบนาทีไปถ่ายเอกสารหนังสืออ้างอิงที่ ห้องสมุด กลับเสียเวลากว่าครึ่งชั่วโมงไปกับการตามหาหนังสือซึ่งอยู่ผิดที่ผิดทาง ป่านนี้แซนวิชที่ซื้อมาคงเย็นชืด

ผมพยายามเร่งฝีเท้า ทว่าชื่อของ นิโก้ หรือ นิโคลัส เด็กนักเรียนของห้องที่ผมเป็นครูประจำชั้นและเสียงของ ออสติน หัวโจกประจำห้องทำให้ผมต้องหยุดชะงัก ผมเห็นเด็กๆ ยืนอยู่บนขั้นพักบันได ออสตินและเพื่อนอีกสองคนล้อมนิโก้ไว้ นิโก้จะเดินหลบไปทางไหนก็ยื่นแขนกันไว้ไม่ให้หนี คนโดนล้อมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

"ออสติน"

เจ้าของชื่อหันมาเจอผม ตัวแสบทั้งสามคนไม่ได้ทำท่าสลดหรือเกรงกลัวแม้แต่น้อย กลับกัน นิโก้เสียอีกที่แสดงสีหน้าหวาดหวั่น

ผมรู้จากแม่ของนิโก้ว่าลูกชายเป็นเด็กที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมในกลุ่มอา การไคลน์เฟลเตอร์ เกิดจากการที่ร่างกายมีโครโมโซม x เพิ่มมาอีกหนึ่งตัว แทนที่จะมีโครโมโซมเพศ xy อย่างผู้ชายทั่วไปกลับมีโครโมโซม xxy ไคลน์เฟลเตอร์เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่พบได้ทั่วไป อยู่ที่ว่าจะแสดงอาการหรือไม่ ผู้ป่วยโครโมโซมผิดปกติบางรายที่ไม่แสดงอาการก็จะมีร่างกายเหมือนชายปกติ แม้เธอไม่บอก ผมก็เดาได้ไม่ยาก นิโก้มีร่างกายผอมกะหร่อง สูงชะลูด ไหล่บาง ผมแดง ใบหน้ากลมๆ ตกกระ มองเผินๆ เหมือนเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย นิโก้ค่อนข้างขี้อายและมีพัฒนาการช้ากว่าเด็กอื่นๆ ร่างกายก็อ่อนแอ ผมไม่เคยเห็นนิโก้พูดคุยเล่นหัวกับใครเลย ผมปิดเรื่องความผิดปกติของนิโก้เป็นความลับ ในฐานะครูประจำชั้น ผมกังวลอยู่เหมือนกันว่าเด็กที่มีบุคลิกอย่างนิโก้อาจจะตกเป็นเป้ารังแก เขาอาจจะถูกเพื่อนร่วมห้องกลั่นแกล้งมาตลอด... ผมไม่รู้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นกับตา ได้ยินกับหู

ออสติน เควิน และแอนดี้เป็นนักกีฬาของโรงเรียน ออสตินมีพรสวรรค์ แต่นิสัยไม่ค่อยดี จองหอง ดื้อรั้น ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง แม้แต่ผมซึ่งเป็นครูประจำชั้น ผมจึงได้แต่บอกออสตินว่าผมผิดหวังในตัวเขาเพียงไร ผิดหวังที่เขาคิดว่าการทำตัวเป็นนักเลงโตนั้นแลดูเท่ ผิดหวังที่เขาหาเรื่องเด็กที่ตัวเล็กกว่า ผิดหวังที่เขาหลงคิดว่าตัวเองดีเด่กว่าคนอื่นเสียเต็มประดา

"ผมทำอะไรผิด? ก็นิโก้เป็นเกย์จริงๆ นี่นา พูดความจริงก็ผิดด้วยเหรอ?" ออสตินพ่นลมออกจากจมูกก่อนจะเหลือบมองนิโก้ด้วยหางตา เควินผสมโรงกระซิบลอดไรฟัน "นิโก้เป็นพวกลักเพศ"

"นิโก้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียหน่อย จริงไหมนิโก้?" ผมถาม

นิโก้ยืนก้มหน้าตัวสั่นงันงก ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ ไม่คิดจะโต้เถียงแม้แต่คำเดียว

"เห็นไหม? น่าขยะแขยงเป็นบ้า" แล้วนักเลงมัธยมทั้งสามก็ฮาครืน

ผมไม่รู้ว่านิโก้ไม่แย้งเพราะสิ่งที่ออสตินพูดเป็นความจริง หรือที่เด็กไม่เถียงเพราะกลัวจะเจ็บตัวเมื่อผมลับตา แต่ผมรู้ว่าผู้ป่วยไคลน์เฟลเตอร์ไม่จำเป็นต้องเป็นเกย์เสมอ รสนิยมทางเพศไม่ได้ขึ้นอยู่กับโครโมโซม และรักร่วมเพศก็ไม่ใช่โรค มันไม่ใช่เนื้อร้ายที่สังคมต้องตัดทิ้งไป

ผมสอนออสตินและพรรคพวกว่าโฮโมเซ็กชวลไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ เขาไม่ควรพูดจาอย่างนั้นไม่ว่าจะกับใครก็ตาม

"ครูก็เป็นเกย์ล่ะสิท่า ปกป้องไอ้ตุ๊ดนี่อยู่ได้"

ผมหมั้นแล้ว กำลังจะแต่งงานในอีกสองเดือนข้างหน้า แหวนทองคำเกลี้ยงเกลาบนนิ้วนางซ้ายคือหลักฐาน ต่อให้ผมเป็นเกย์จริงๆ บอกใครก็คงไม่มีใครเชื่อ ผมไม่จำเป็นต้องพูดอะไรด้วยซ้ำ ทว่าผมกลับรีบปฏิเสธ

สันชาตญาณบอกให้ผมปฏิเสธ

"เหลวไหล พวกเธอก็รู้ว่าครูหมั้นแล้ว"

ออสตินหันหน้าไปมองเพื่อนร่วมแก๊งขอความเห็น สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของเด็กหนุ่มนักกีฬาบ่งบอกว่าคำพูดของผมไม่มีน้ำหนัก คำพูดของผมเบาโหวงพอๆ กับแหวนหมั้นบนนิ้วนางซ้าย นิโก้จ้องผมตาไม่กะพริบ ผมเห็นภาพตัวเองและความกังขาสะท้อนอยู่ในกระจกตาสีฮาเซลของเขา แต่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าความกังขาในแววตาของนิโก้นั้นเป็นของเด็กเอง หรือเป็นภาพสะท้อนจากสีหน้าที่แท้จริงของผมกันแน่

ผมกอดอก หนีบแฟ้มเอกสารไว้ใต้วงแขน ก่อนจะเอ็ดออสตินเสียงเข้ม "ฟังนะออสติน ไม่มีใครเป็นเกย์ทั้งนั้น เลิกพูดเรื่องนี้แล้วกลับห้องเรียนได้แล้ว"

ไม่ทันขาดคำ กริ่งบอกเวลาเข้าเรียนก็แผดลั่นพร้อมๆ กับที่นิโก้ออกวิ่ง ออสตินและเพื่อนเผ่นตาม สามสหายตะโกนโหวกเหวกว่าอะไรสักอย่างที่ผมไม่ใส่ใจฟัง ความสนใจของผมจับอยู่ที่นิโก้ ผมมองตามแผ่นหลังผ่ายผอมไปจนลับตา

ไม่ใช่เพราะได้เวลาเข้าเรียน ไม่ใช่เพราะออสติน ผมสังหรณ์ใจว่าอะไรบางอย่างในน้ำเสียงของผมทำให้แกวิ่งหนีไป

อะไรบางอย่างที่ว่า คือคำตอบที่เทย์เลอร์ให้แก่ศาสตราจารย์ฟเลโทเมื่อห้าปีก่อน






'สามเหลี่ยมสีชมพูในวงกลมสีเขียว คือ สัญลักษณ์ของอคติที่ไม่มีวันหมดไปจากโลกนี้'

อณูแห่งความเกลียดชังในห้องเรียนเงียบงันไปชั่วขณะก่อนจะระเบิดหัวเราะดัง กระหึ่มยิ่งกว่าเก่า ทุกคนมัวแต่ขบขันจนน้ำตาเล็ดจึงไม่มีใครสังเกตเห็นศาสตราจารย์ฟเลโทพึมพำ ทั้งรอยยิ้มอิดโรย

'อคติไม่มีวันหมดไปจากโลกนี้จริงๆ'



****************



นักศึกษาคว้ากระเป๋ากรูออกจากห้องเรียนทันทีที่หมดคาบ เว้นแต่เพียงเทย์เลอร์ผู้นั่งอยู่แถวหน้าสุด เขาพลิกตำราแล้วลุกไปหาศาสตราจารย์ฟเลโท เทย์เลอร์ไม่เคยถามหรือขอคำปรึกษาจากอาจารย์คนอื่นนอกจากฟเลโท อีกทั้งฟเลโทก็เอ็นดูเทย์เลอร์มากที่สุดในชั้น ลือกันว่าศาสตราจารย์และเทย์เลอร์มีความสัมพันธ์กันเกินกว่าอาจารย์และลูก ศิษย์ บ้างก็ว่าพวกเขาใช้เวลาช่วงพักกลางวันร่วมกันในห้องทำงานของฟเลโท เทย์เลอร์ไปหาศาสตราจารย์บ่อยครั้ง หลายคนอ้างว่าเคยเห็นศาสตราจารย์ฟเลโทแตะเนื้อต้องตัวลูกศิษย์อย่างสนิทสนม

แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ทุกคนรุมรังเกียจเทย์เลอร์

เทย์เลอร์ไม่ใช่นามสกุล แต่เป็นชื่อ

เทย์เลอร์ แมคแองกัสโดดเด่นในหมู่นักศึกษาใหม่ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีแรก หากไม่ได้ร่างสูงชะลูดกว่าหกฟุตสอง ไม่ว่าใครก็คงนึกว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิง เทย์เลอร์มีผมสีดำหยักศกฟูฟ่องยาวเคลียไหล่ ใบหน้าเรียว ริมฝีปากอิ่ม คางป้าน นอกจากคางแล้วก็ไม่มีส่วนไหนในร่างกายของเขาที่เป็นเหลี่ยมคม ผิวขาวจัดไร้ไฝฝ้า มีเพียงรอยตกกระจางๆ บนจมูกและแก้ม ทำให้เขาดูเด็กและมีเสน่ห์มากกว่าจะถือว่าเป็นตำหนิ เขาเป็นคนสวย นี่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ทุกคนรุมรังเกียจเทย์เลอร์เช่นกัน แต่เป็นเหตุให้คนพยายามเข้าหา

โชคร้ายที่เทย์เลอร์แทบไม่ เปิดปากพูดกับใครเลย นอกจากเวลาทำงานเป็นบรรณารักษ์ของห้องสมุดมหาวิทยาลัย ถึงกระนั้นก็พูดนับคำได้ หากมีคนเข้าไปพูดด้วย เทย์เลอร์มักจะทำเป็นไม่สนใจหรือเพียงแค่พยักหน้าพอเป็นพิธี เขาไม่สุงสิงกับใครนอกจากกุสตาฟ ฟเลโท อาจารย์ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์

ผมไม่รู้ว่าใครเป็นต้นตอข่าวลือว่าเทย์เลอร์เป็นเกย์แถมยังมีความสัมพันธ์ทาง เพศกับฟเลโท ผมไม่รู้ว่าข่าวลือนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะกว่าที่ผมจะรู้จักชื่อของเทย์เลอร์ ข่าวลือที่ว่าก็กระจายออกไป ปากต่อปาก เรื่องราวผิดเพี้ยนจนเทย์เลอร์แทบไม่เหลือความเป็นคน ผมไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเทย์เลอร์ แม้จะได้ยินเรื่องของเขาทุกวันในทุกแง่มุม ตัวจริงของเทย์เลอร์ยังคงเป็นปริศนาสำหรับผม เพราะผมแน่ใจว่าพวกที่ตีไข่ใส่สีเรื่องราวของเทย์เลอร์กันสนุกปากทุกวี่วัน เองก็ไม่ได้รู้จักเขามากไปกว่าผมหรอก

เป็นแค่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำแล้วยังมีหน้ามาหยิ่งจองหอง

ทุกคนเกลียดเขา เพราะคนรอบตัวเกลียดเขา

ทุกคนดูถูกดูแคลนเทย์เลอร์ ชี้ชวนกันดูยามเห็นเขาเดินอยู่ในมหาวิทยาลัยเพียงลำพังแล้วหัวเราะเยาะ เพราะมันเป็นแฟชั่น ใครๆ ก็ทำกัน

สังคมต้องการคนอย่างเทย์เลอร์ สังคมต้องการเหยื่อ ต้องการคนที่จะโดนรุมรังแก เพื่อให้คนอื่นๆ รอดพ้นจากการตกเป็นเป้านินทา

ข่าวลือไร้มูลและความเกลียดชังอันไร้สาเหตุแพร่กระจายออกไปจนกระทั่งทุกคนมีเหตุผลมากพอที่จะรังเกียจเทย์เลอร์โดยชอบธรรม

ผมไม่ได้เกลียดเทย์เลอร์ เราไม่เคยพูดคุยกัน แค่เรียนห้องเดียวกันในบางวิชาก็เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม...

ข่าวลือไร้มูลและความเกลียดชังอันไร้สาเหตุแพร่กระจายออกไปจนกระทั่งเทย์เลอร์มีเหตุผลมากพอที่จะคิดว่าผมเกลียดเขาโดยชอบธรรม






Bent

คำคุณศัพท์ 1. คดงอ 2. ทุจริต 3. ผิดปรกติ 4. ไม่ตรงตามมาตรฐาน

สแลง วิปริตทางเพศ เช่น รักร่วมเพศ






Bent คือละครเวที ประพันธ์โดยมาร์ติน เชอร์แมน เบนท์ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 1997 นำแสดงโดยไคลฟ์ โอเวน

แม็กซ์ ชายหนุ่มจากตระกูลร่ำรวยถูกนาซีจับกุมพร้อมกับหนุ่มคนรัก รูดี้ พวกเขาถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกันรวมกับพวกยิว แม็กซ์ปฏิเสธว่าเขาไม่รู้จักรูดี้และไม่ได้เป็นเกย์ เขายอมทำตามคำสั่งนาซี ทุบรูดี้แล้วปล่อยให้คนรักนอนจมกองเลือดเพื่อปกป้องตัวเอง เขาเลือกที่จะถูกคุมขังในฐานะยิว ปิดบังความจริงที่ว่าตนเป็นพวกรักร่วมเพศ หลังจากนั้น แม็กซ์ก็ได้พบกับฮอรสต์ ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบนักโทษปักเศษผ้าตราสามเหลี่ยมสีชมพู ฮอรสต์ถูกจับตัวมายังค่ายกักกันเพราะเขาออกมาร้องเรียนเรื่องสิทธิเสรีภาพ ของเกย์

ฮอรสต์ไม่ปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองเป็นและไม่คิดว่าการรักเพศเดียวกันเป็นสิ่งที่น่าละอาย








ออสตินยังไม่ยอมรามือ

ขณะที่ผมก้มลงอธิบายความหมายของคำศัพท์ในหนังสือประวัติศาสตร์ให้แก่นิโก้ ระหว่างที่ทุกคนในชั้นกำลังเขียนรายงาน ออสตินก็โพล่งขึ้นว่า ดูสิ ครูสเวนดูแลนิโก้เป็นพิเศษอีกแล้ว

นิโก้หน้าแดงไปถึงหู แกรีบก้มลงอ่านหนังสือ แล้วไม่สนใจผมอีกเลย

ผู้ป่วยในกลุ่มอาการไคลน์เฟลเตอร์มีพัฒนาการช้า บางรายมีปัญหาด้านการจดจำคำศัพท์และมีสมาธิสั้น เด็กกลุ่มนี้ต้องการการเอาใจใส่เป็นพิเศษ พวกเขาขาดความมั่นใจ ขาดความกล้าแสดงออก ไม่กล้ายกมือถาม โชคดีที่นิโก้ไม่ได้แสดงอาการถึงขั้นปัญญาอ่อนหรือสมาธิสั้น ผลการเรียนของแกอาจจะด้อยกว่าเด็กหลายคนในชั้น แต่ก็ยังดีกว่าออสตินและพรรคพวกมากนัก

ถึงกระนั้น แม่ของนิโก้ก็ขอร้องให้อาจารย์ทุกคน -ย้ำว่าทุกคน- รวมทั้งผม ให้ดูแลลูกของเธออย่างดีที่สุด อาจารย์ใหญ่กำชับหนักหนาให้พวกเราคอยสังเกตและไถ่ถามนิโก้ให้แน่ใจว่าเขา เรียนตามเพื่อนๆ ทัน อาจารย์คนอื่นๆ อาจจะไม่ได้ดูแลนิโก้เป็นพิเศษ บางคนอาจจะลืมคำสั่งของอาจารย์ใหญ่ไปแล้วก็ได้ ส่วนตัวผมเอง ผมตั้งใจว่าจะเอาใจใส่นิโก้แค่พอประมาณ เพราะผมไม่อยากให้นิโก้และเพื่อนร่วมชั้นรู้สึกว่าเขาด้อยกว่าเด็กอื่นๆ

แต่ออสตินไม่เคยปล่อยให้ผมคลาดสายตา

ผมเดินอ้อมชั้นเรียนไปหาออสติน เพื่อตอบแทนที่เด็กนั่นยิ้มเยาะอย่างกวนประสาท ผมดูแลเขาเป็นพิเศษตลอดทั้งคาบด้วยการยืนมองเขาเขียนรายงาน (ผมรู้ดีว่าเวลามีครูมายืนจ้องเด็กจะเขียนอะไรไม่ออก) ผมไม่ได้รังแกเด็ก แค่เอาใจใส่ กว่าออสตินจะเขียนรายงานได้สามบรรทัดก็หมดคาบ ผมตวัดกระดาษรายงานของเด็กนั่นขึ้นจากโต๊ะก่อนจะบอกให้ทุกคนส่งรายงานไปรวม ที่แถวหน้าสุด เควินและแอนดี้แสดงความกล้าหาญประท้วงแทนเพื่อนด้วยการเขียนคำว่า GAY ตัวโตๆ ลงในกระดาษรายงาน

หลังหมดคาบ ผมหอบข้าวของกลับไปยังห้องพักครู

ในห้องพักครูซึ่งขณะนั้นไม่มีใคร ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ กอดอก จ้องมองอักษรทั้งสามบนกระดาษทั้งสองแผ่นด้วยอารมณ์คุกรุ่น

อะไรคือปัญหา? ผ้าสีตุ่นๆ ที่เคยเป็นผ้าขาว หรือ ตัวอักษรสีแดงเลือดนกบนกระดาษสีขาว ผมโกรธที่นักเรียนไม่ให้ความเคารพหรือกลัวว่าเรื่องตลกนี่จะแพร่ไปทั่ว โรงเรียนกันแน่ อะไรคือเชื้อเพลิงที่ทำให้หัวใจของผมเต้นรัว อะไรคือสิ่งที่ผมต้องหยุด อะไรคือสิ่งที่ผมต้องกำจัดทิ้งเป็นอย่างแรกเพื่อแก้ปัญหา

นิโก้

แวบหนึ่งที่ผมคิดจะตัดนิโก้ออกจากชีวิตเป็นอย่างแรก หากผมเลิกสนใจเด็กนั่น ออสตินคงไม่วุ่นวายกับผมอีก

ผมเกลียดตัวเองที่คิดแบบนั้นจนแทบจะไล่ตัวเองไปตาย

ผมตัดสินใจว่าจะไม่ทำลายรายงานทั้งสองฉบับ ผมจะเขียนคะแนน (แน่นอนว่า F) แล้วก็จะส่งคืนให้เด็กๆ ถ้วนหน้ากัน หากผมขยำรายงานสองฉบับทิ้งไป ออสติน เควินและแอนดี้จะรู้ว่าผมกลัว ผมไม่ได้กลัว ไม่มีอะไรต้องกลัว

ผมยัดรายงานที่ตรวจเสร็จแล้วใส่แฟ้ม จากนั้นก็ดึงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต โทรศัพท์ดังอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียงใสตอบจากปลายสาย "ชอว์น?" คู่หมั้นของผม

"วันนี้ว่างไหม?"

"เป็นอะไรหรือเปล่า? เสียงฟังดูซึมๆ"

ผมบอกว่าคิดถึง ผมชวนเธอไปทานข้าว ที่ผ่านมาเราเอาแต่ยุ่งกับงานจนไม่ได้เจอกันเลย

ตลอดเวลาที่ผมคุยกับเธอจนกระทั่งวางสาย...

สมองของผมฉายภาพแม็กซ์กระหน่ำทุบรูดี้ด้วยกระบองของเกสตาโป



****************


เทย์เลอร์นั่งอยู่เพียงลำพังหลังเคานท์เตอร์บรรณารักษ์ในห้องสมุด ยามเช้าที่ห้องสมุดยังโล่ง แดดกล้ายังทำงานได้ดีกว่าไฟนีออน ร่างสูงโปร่งยืนย้อนแสงหันหลังให้หน้าต่าง โน้มตัวเท้าศอกลงบนตั้งหนังสือ ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ภายใต้เงาสลัวและผมฟูฟ่องเหมือนหูสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ล มือเรียวยาวประคองสมาร์ทโฟนหุ้มเคสลายทางสีพาสเทล เขาแตะหน้าจอสองสามครั้ง ก่อนจะยกมือจับปอยผมที่ปรกหน้าไปทัดใบหู

ผมค่อนข้างแปลกใจที่เห็นเทย์เลอร์ใช้สมาร์ทโฟน

เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่ใช้สมาร์ทโฟนก็เพื่อความโก้เก๋ จะได้ทันสมัย ไม่ตกยุค น้อยคนนักที่จะลงทุนซื้อโทรศัพท์รุ่นแพงแสนแพงด้วยวัตถุประสงค์ที่ฟังดูมี ประโยชน์ ทุกคนคิดเพียงแต่ว่า ในเมื่อเพื่อนๆ มีโทรศัพท์ฉลาดๆ กันทุกคน เราก็ต้องมีบ้าง ผมยอมรับอย่างไม่อายว่าผมเองก็เป็นหนึ่งในวัยรุ่นที่กลัวตกกระแส แต่ผมไม่คิดว่าเทย์เลอร์ผู้ไม่ค่อยมีเพื่อนจะขวนขวายซื้อสมาร์ทโฟนมาใช้ด้วย จุดประสงค์พรรค์นั้น

ผมนอนฟุบกับโต๊ะ ใช้กระเป๋าแทนหมอน ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ระหว่างรอคริสที่กำลังเร่งรีบพิมพ์ รายงานวิชาวรรณคดีร่วมสมัยอยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ เคานท์เตอร์บรรณารักษ์และเทย์เลอร์อยู่ห่างออกไปสามเมตร มีรถเข็นหนังสือทำจากไม้คั่นกลาง รถเข็นเก่าแก่พอๆ กับหัวหน้าบรรณารักษ์วัยใกล้เกษียณบรรจุตำราเรียนภาษาสเปน หนังสือคู่มือสร้างเว็บไซต์ตั้งใหญ่ และนิยายปกแข็งใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่ง นิยายเล่มนั้นเสียบอยู่ในรถเข็นหันปกมาทางผมพอดี บนปกคือภาพเขียนรูปนาร์ซิสซัสหนุ่มจ้องมองภาพสะท้อนของตัวเองท่ามกลางความ มืดมิด ผลงานของการาวัจโจ ทว่าหนังสือเล่มนั้นหาได้เล่าเรื่องราวของนาร์ซิสซัสไม่ ชื่อหนังสือคือภาพเหมือนของดอเรียน เกรย์ งานประพันธ์อันโด่งดังของนักเขียนเลื่องชื่อลือนามนามออสการ์ ไวลด์ที่ถูกนำมาตีพิมพ์ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า

หนังสือเรื่องภาพเหมือนของดอเรียน เกรย์บนรถเข็นดึงความสนใจของผมได้ทันที ไม่ใช่ว่าอยากอ่าน แต่สงสัยว่าทำไมบรรณารักษ์จึงสั่งซื้อหนังสือเล่มนี้เข้าห้องสมุดซ้ำอีก ทั้งๆ ที่น่าจะมีฉบับเก่าเก็บอยู่แล้ว ไม่ว่าห้องสมุดแห่งไหนก็ต้องมีหนังสือนิยายเรื่องนี้ทั้งนั้น

คำตอบอยู่ที่คำว่า ฉบับอธิบายเพิ่มเติมและไม่ผ่านการตัดทอน ตัวเล็กๆ เหนือชื่อผู้แต่ง

นิยายเรื่องดอเรียน เกรย์ฉบับที่พวกเราทุกคนได้อ่านหรือถูกบังคับให้อ่านสมัยมัธยมเป็นฉบับที่ ถูกดัดแปลงจากต้นฉบับจริง เนื่องจากต้นฉบับจริงที่ไวลด์เขียนขึ้นทีแรกนั้นไม่ได้รับอนุมัติให้ตีพิมพ์ เพราะบรรณาธิการพิจารณาว่านิยายประกอบด้วยเนื้อความที่เป็นภัยและหยาบโลน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวกับรักร่วมเพศที่แสนจะน่ารังเกียจยิ่งกว่ากาฬโรค

ออสการ์ ไวลด์ต้องโทษจำคุก เขาถูกคุมขังในเรือนจำในกรุงลอนดอน เพนทอนวิลล์และวอนสเวิร์ธ ด้วยความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งความรักที่ไม่อาจระบุชื่อ แม้ไวลด์ได้รับอิสระในสองปีให้หลัง แต่ถ้อยคำของเขายังคงอยู่ในที่คุมขัง

จากวันที่ชายหนุ่มรูปงามนามดอเรียนปรากฏแก่สายตาผู้คนเป็นครั้งแรก ในที่สุด ความลุ่มหลงของเบซิล ฮอลวอร์ดและความในใจของออสการ์ ไวลด์ที่ไม่โดนบีบบังคับให้บิดเบือนด้วยอคติที่มาบดบังความงดงามของวรรณกรรม ก็เป็นอิสระเมื่อหนึ่งร้อยยี่สิบปีให้หลัง โดยที่ออสการ์ ไวลด์ไม่จำเป็นเขยื้อนกายออกจากกรงขัง

สถานที่คุมขังของ เขาคืออิสระ... คือโลกกว้างที่เขาใช้ชีวิตอย่างโลดโผนร่วมกับคนรักคนแล้วคนเล่ารวมไปถึงเด็ก หนุ่มรูปงามที่เขาซื้อตัวมาจากท้องถนน เมื่อใดก็ตามที่ออสการ์ ไวลด์มองผ่านตะแกรงเหล็ก ก็จะเห็นพวกเราวิ่งพล่านอยู่ในคุก คุกที่เราสร้างขึ้นมาเอง เพื่อจองจำคนแบบเขาผู้มีความรักอันถือเป็นบาป ผมเห็นไวลด์ในกรงขังส่งยิ้มให้ รอยยิ้มกึ่งเยาะแบบเดียวกับรอยยิ้มบนรูปปั้นของเขาที่เมอร์เรียนสแควร์ เมืองดับลิน

สายตาของผมละจากหนังสือ ทอดไปยังเทย์เลอร์ที่อยู่ถัดไปเบื้องหน้า เทย์เลอร์กำลังก้มหน้าจดอะไรบางอย่างลงในกระดาษ แก้มและท่อนแขนขาวทอแสงอ่อนๆ เมื่อต้องไอแดด รูปร่างสูงโปร่งอ้อนแอ้นและเครื่องหน้าเหมือนผู้หญิงของเขาทำให้ผมหวนคิดถึง ภาพยนตร์เรื่องไวลด์ที่อาจารย์เคยเปิดให้ดูในคาบวรรณคดี เกี่ยวกับชีวประวัติของออสการ์ ไวลด์

สตีเฟน ฟรายรับบทเป็นออสการ์ ไวลด์ประชันบทบาทกับจูด ลอว์ผู้แสดงเป็นคนรักของไวลด์ - ลอร์ดอัลเฟรด โบซี่ ดักลาส ผมเคยคิดว่าจูด ลอว์เหมาะกับบทอัลเฟรด ดักลาส แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อหน้าปกหนังสือชีวประวัติของกวีดักลาสผ่านตา วันนั้นเองที่ผมได้รู้ว่า หากมัวเฟ้นหานักแสดงที่มีเสน่ห์เทียบเทียมโบซี่ตัวจริง พวกเราคงไม่มีวันได้ชมภาพยนตร์เรื่องไวลด์

เทย์เลอร์ก็เหมือนโบซี่ พวกเขาไม่สมกับเป็นส่วนหนึ่งของโลกอัปลักษณ์ใบนี้

ผมสลัดความสนใจของตนเองออกจากเทย์เลอร์และหนังสือ ควักโทรศัพท์มือถือไอโฟนของตัวเองขึ้นมากดเล่นไปเรื่อยเปื่อย เวลาที่ไม่มีอะไรทำ ผมมักจะเปิดเข้าแอพสโตร์ ดาวน์โหลดแอพลิเคชั่นฟรีมาลองเล่น โทรศัพท์ของผมเต็มไปด้วยแอพลิเคชั่นสำหรับเชื่อมต่อโซเชียลเน็ตเวิร์ก เกม และแอพลิเคชั่นจิปาถะที่ผมไม่เคยเปิดใช้เป็นหนที่สอง

แอ พสโตร์คราคร่ำไปด้วยสินค้าแจกฟรีที่น่าเบื่อหน่าย โปรแกรมแต่งภาพ แอพลิเคชั่นของแมคโดนัลด์ ไบเบิลออนไลน์ โปรแกรมระบุพิกัดร้านกาแฟ และโปรแกรมสำหรับอ่านอีบุ๊คที่ไม่ค่อยถนอมสายตา พลันปลายนิ้วของผมก็สะดุดเข้ากับแอพลิเคชั่นตัวหนึ่งของบริษัทลูซิด ดรีมส์ แอลแอลซี -- Jack'd

ผมไม่เคยใช้บริการระบบห้องแชทหรือหา เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต ผมคิดว่าคนที่ไม่มีเพื่อนในชีวิตจริงเท่านั้นแหละที่จะใช้งานห้องแชท สร้างประวัติหลอกๆ ในโลกอินเทอร์เน็ตขึ้นมาเพื่อคุยกับคนที่ไม่รู้จักหน้าค่าตา

Jack'd เป็นระบบห้องแชทสำหรับเกย์ ผู้ที่ต้องการใช้งานแอพลิเคชั่นนี้ต้องเป็นผู้ที่มีอายุเท่ากับหรือมากกว่า สิบเจ็ดปี หรือเด็กกว่านั้นแต่มีปัญญากดปุ่ม 'OK' ก่อนติดตั้ง

ความสงสัยใคร่รู้ดลใจให้ผมตกลงติดตั้งแอพลิเคชั่นนี้ลงไอโฟน ผมนั่งมองปรอทสีฟ้าค่อยๆ เติมเต็มแถบติดตั้งไอคอนรูปสี่เหลี่ยมจืดจางเปลี่ยนเป็นสีแดงสด ผมชะโงกหน้ามองเพื่อน คริสยังก้มหน้าก้มตาพิมพ์รายงานอยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ ภายในห้องสมุดไม่มีใคร นอกจากผมกับเทย์เลอร์ ผมกลืนน้ำลาย ใคร่ครวญเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจรดปลายนิ้วลงบนไอคอนสีแดงอย่างเบามือ

แอพลิเคชั่นร้องขอให้ผมเปิดใช้งานระบบระบุพิกัดและระบบแจ้งเตือน ผมตอบตกลง ตราบใดที่ผมยังไม่ได้สมัครสมาชิกก็ไม่มีอะไรน่ากังวลว่าความเป็นส่วนตัวของ ผมจะถูกละเมิด

Jack'd ต้องการระบุพิกัดของผู้ใช้เพื่อจะได้แสดงรายชื่อของสมาชิกที่อาศัยอยู่ใน ละแวกเดียวกัน แสดงผลเรียงลำดับจากคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ภาพของสมาชิกที่ลงทะเบียนเอาไว้ทยอยปรากฎขึ้นบนหน้าจอ ภาพที่มีวงกลมสีเขียวอยู่บนมุมซ้ายบนคือคนที่กำลังออนไลน์อยู่ในขณะนั้น ผมหรี่ตามองรูป บางรูปก็เห็นหน้า บางรูปก็มีแค่ร่างเปล่าเปลือยต่ำกว่าคอลงไป

ภาพบนหัวมุมซ้ายคือสมาชิกที่ระบบระบุว่าอยู่ใกล้กับผมมากที่สุด ศูนย์ไมล์

ภาพนั้นถ่ายย้อนแสงจึงเห็นหน้าคนในภาพไม่ใคร่ชัด แต่ผมแน่ใจว่าคนในภาพคือเทย์เลอร์

ดวงตากลมโต จมูกเป็นสันปลายมน และผมหยักเป็นลอนเลือนรางในเงาสลัวละม้ายคล้ายรูปปั้นกรีก รูปจำลอง-ร่างจำแลงของอะโฟรไดต์

เทย์เลอร์ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้ใส่ชื่อจริงและรูปถ่ายลงในห้องแชทแบบนี้

ผมสะดุ้งโหยงเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสหนักๆ ที่ไหล่ จึงรีบคว่ำโทรศัพท์มือถือลงบนตัก พอหันไปมองก็เห็นคริสยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างหลัง

"เสร็จแล้ว ไปกันเหอะ"

คริสม้วนกระดาษรายงานหลวมๆ เหวี่ยงกระเป๋าเป้พาดบ่า ผมยัดไอโฟนใส่กระเป๋ากางเกง ตะปบกระเป๋าสะพายของตัวเองแล้วเดินตามเพื่อนออกจากห้องสมุดไป



****************



สมัยที่เป็นนักเรียน ผมเคยถามตัวเองว่า ทำไมเราต้องมาโรงเรียน ทำไมต้องเราฟังครูสอน ทั้งๆ ที่เราสามารถเรียนรู้เองได้จากหนังสือหรืออินเทอร์เน็ต พวกครูเองก็อ่านหนังสือมาสอนเราทั้งนั้น ทำไมเราไม่ค้นคว้าเอง เรียนเฉพาะเรื่องที่เราสนใจหรือถนัด ทำไมเราจะต้องเสียเวลามานั่งรวมกันในห้องแคบๆ เรียนสิ่งที่คนอื่นเรียน รู้สิ่งที่ทุกคนรู้ พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เราไม่สนใจแม้แต่น้อย

ผมสอบได้ใบประกอบอาชีพครูเมื่อสองปีก่อน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผมได้รับมอบหมายให้สอนวิชาประวัติศาสตร์ ...วิชาประวัติศาสตร์ที่ผมเกลียดนักหนา แต่บังเอิญจดจำคำสอนของศาสตราจารย์ฟเลโทได้ขึ้นใจ หลังจากที่ผมผันสถานะของตัวเองจากนักเรียนมาเป็นครู ผมถามตัวเองบ่อยครั้งว่า ทำไมผมต้องสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำไมต้องสอนประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในปีไหน ที่ไหน อย่างไร ทำไมผมไม่ปล่อยให้เด็กพวกนี้ค้นคว้าเอาเอง ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีอยู่ในตำราแล้วทั้งนั้น แม้แต่ผมซึ่งเป็นครูยังอดคิดไม่ได้ว่าชั่วโมงเรียนของตัวเองน่าเบื่อ

ผมอยากเป็นครูที่ดีอย่าง 'แดน ดัน' ในภาพยนตร์เรื่องฮาล์ฟ เนลสัน

แดนติดโคเคน แต่เขาเป็นครูที่ดี ครูที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แค่เขาสามารถทำหน้าที่ของตนเองได้เต็มร้อย ให้ความรู้ และทำให้เด็กๆ จดจำในสิ่งดีๆ ที่เขาสอนได้ก็พอ ผมอยากเป็นครูที่เด็กๆ ถามถึงในวันหนึ่งที่ผมหายไป

วิธีการสอนของศาสตราจารย์ฟเลโทคล้ายคลึงกับแดน พวกเขาต่างสอนวิชาประวัติศาสตร์ ไม่ว่าตามตำรา แต่จะยกหัวข้อ ตั้งคำถาม ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเสวนาให้มากที่สุด น่าเสียดายที่ผมไม่มีความคิดสร้างสรรค์มากขนาดนั้น

ผมสั่งการบ้านให้เด็กๆ เขียนรายงานเกี่ยวกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ความผิดพลาดที่พวกเขาอยากย้อนอดีตไปแก้ไข พร้อมทั้งบอกวิธีแก้ไขให้ดีขึ้น "อย่างต่ำสามหน้านะ พยายามอย่าเลือกหัวข้อเดียวกันล่ะ" ผมย้ำ ก่อนจะได้ยินเสียงนักเรียนโอดครวญดังระงม

เมื่อหมดคาบเด็กนักเรียนสะพายกระเป๋ากลับบ้านทีละคนสองคน หากนี่ไม่ใช่คาบสุดท้าย ผมคงรีบเผ่นออกจากห้องเรียนเพื่อให้คุณครูที่สอนคาบถัดไปเข้ามารับหน้าที่ ต่อ แต่ในเมื่อมันเป็นคาบสุดท้าย ผมก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ผมชอบการนั่งอยู่ในห้องเรียนเพื่อให้เด็กๆ เดินมาถามคำถาม (แต่ไม่ค่อยมีใครมาถามเท่าไหร่หรอก) ผมชอบเวลาที่เด็กๆ ลาผมก่อนกลับบ้าน เพื่อที่ผมจะได้บอกพวกแกให้รีบตรงกลับบ้าน อย่าเถลไถล ผมรวบรวมการบ้านใส่ซองกระดาษอย่างระมัดระวังมากกว่าปกติ จากนั้นก็ลุกขึ้นลบกระดานดำ

"ครูสเวน"

นิโก้สะพายกระเป๋ายืนอยู่ตรงทางเดินระหว่างโต๊ะนักเรียนแถวหน้าสุด เด็กคนอื่นออกจากห้องไปหมดแล้ว ผมเลิกคิ้ว แปลกใจที่นิโก้มาคุยด้วย ตั้งแต่วันที่ผมและนิโก้ถูกออสตินล้อเลียนกลางชั้นเรียน นิโก้ก็หลบหน้าหลบตา แกไม่พูดกับผมอีกเลย จนกระทั่งเมื่อครู่

"มีอะไรหรือ?" ผมถาม

"ค... คือ..." นิโก้ก้มหน้ามองพื้น น้ำเสียงตะกุกตะกัก หูของแกขึ้นสีจนแทบจะแดงเท่าสีผม "ผมอยากถามครูเรื่อง... น... หนังสืออ้างอิง ส... สำหรับทำรายงานครับ"

"รายงานเมื่อกี๊น่ะหรือ? จะเขียนเรื่องอะไรล่ะ?"

หูของแกแดงขึ้นอีก

"ก... กาติน" นิโก้พึมพำเสียงแผ่ว "การสังหารหมู่ที่ป่ากาติน"

การสังหารหมู่ทหารและตำรวจของโปแลนด์ที่ป่ากาติน เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง คราวนั้นโซเวียตรุกรานโปแลนด์แล้วจับทหารกับตำรวจของโปแลนด์ไว้เป็นเชลยศึก ทั้งปัญญาชนชาวโปแลนด์อีกจำนวนมากก็ถูกจับไปขังและโดนบังคับใช้แรงงาน ทว่าในวันที่โซเวียตทำสัญญากับโปแลนด์ ยอมปล่อยตัวเชลยสงครามทั้งหมด ทหารและตำรวจชาวโปแลนด์เรือนหมื่นที่ถูกโซเวียตควบคุมตัวไว้กลับหายไปอย่าง ไร้ร่องรอย สหภาพโซเวียตปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น โดยอ้างว่าทหารเหล่านั้นอาจจะหลบหนีไปแล้ว

ดังคำกล่าวที่ว่าความลับไม่มีในโลก ในปีคริสตศักราช 1943 นาซีเยอรมันค้นพบศพกว่าสี่พันร่างถูกฝังอยู่ในป่ากาติน ศพถูกมัดมือและถูกสังหารด้วยการจ่อยิงจากด้านหลัง นาซีเยอรมันคาดว่าการสังหารหมู่นี้เป็นฝีมือของ NKVD หน่วยสืบราชการลับของสหภาพโซเวียต ตามคำสั่งของผู้นำสตาลิน

นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่า โซเวียตสังหารทหารของโปแลนด์อย่างลับๆ เพื่อเอาใจเยอรมัน เพื่อที่จะแสดงให้เยอรมันเห็นว่าโซเวียตต่อต้านโปแลนด์อย่างจริงจัง น่าเสียดายที่โชคชะตาเล่นตลกให้นาซีเยอรมันเป็นผู้พบศพแล้วนำการฆาตกรรมหมู่ นี้ออกมาตีแผ่เพื่อโจมตีสหภาพโซเวียต สหภาพโซเวียตปฏิเสธความรับผิดชอบในทุกข้อกล่าวหา ยิ่งไปกว่านั้นยังสร้างหลักฐานเท็จมาปรักปรำว่าการสังหารหมู่ทหารชาวโปแลนด์ นั้นเป็นการกระทำของนาซีเยอรมัน พยานที่รู้ความจริงต่างก็ถูกข่มขู่ให้ถอนคำพูดว่าสหภาพโซเวียตอยู่เบื้อง หลังฆาตกรรมในครั้งนั้น แม้ยากจะหาคนเชื่อในหลักฐานพยานเท็จ ถึงกระนั้นโฉมหน้าของฆาตกรที่แสนเหี้ยมโหดก็ยังคงคลุมเครือ จนกระทั่งปี 1990 ความจริงเริ่มปรากฏว่านายทหารและตำรวจชาวโปแลนด์ถูกสังหารตามคำสั่งของผู้นำ สตาลิน จำนวนผู้โชคร้ายมีมากกว่าสองหมื่นนาย นอกจากเอกสารราชการอันเป็นหลักฐานมัดตัวสตาลินแล้ว ยังมีฉากฆาตกรรมที่ถูกบอกเล่าโดยอดีตตำรวจลับของสหภาพโซเวียตอีกด้วย

ถ้าเอ่ยถึงสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ว่าใครก็ต้องนึกถึงความโหดร้ายราวอมนุษย์ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์และกองทัพนาซีเยอรมัน หากแท้จริง ไม่ว่ากองทัพใด สงครามใด ผู้นำคนใด ก็เหม็นกลิ่นคาวเลือดและไม่น่าให้อภัยดุจเดียวกัน

ผมจดชื่อหนังสือวิชาการให้นิโก้สองเล่ม พร้อมกับสัญญาว่าจะหาสารคดีเกี่ยวกับป่าสี่พันศพมาให้ดู

นิโก้เงยหน้าขึ้นยิ้มแฉ่งเมื่อผมชมว่าแกเลือกหัวข้อได้น่าสนใจ ผิวแก้มของแกใสและแดงจัดเหมือนผลมะเขือเทศ สำหรับเด็กขี้อายและขาดความมั่นใจอย่างนิโก้ การเข้ามาคุยกับผมก่อนคงต้องอาศัยความกล้าหาญมากทีเดียว

นิโก้ถามผมว่า ถ้าเป็นผมจะเขียนรายงานเกี่ยวกับอะไร

ผมยิ้ม

บอกเด็กไปว่าผมจะส่งกระดาษเปล่าสามแผ่น เพราะอดีตไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกๆ เหตุการณ์ในปัจจุบัน

เพราะผมรู้ดีว่าไม่มีใครแก้ไขอดีตได้...

ไม่ว่าจะอยากหวนกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่แค่ไหนก็ตาม



****************



ครอบครัวของผมอาศัยอยู่ในตึกแถวสามชั้นย่านร้านค้า แม่เปิดร้านกาแฟ ส่วนพ่อทำงานที่ที่ทำการไปรษณีย์ นอร์ตัน พี่ชายของผมเป็นนักวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน นานๆ ถึงจะกลับบ้านสักครั้ง ผมเคยใฝ่ฝันว่าเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้วจะได้ใช้ชีวิตเด็กหอเหมือนนอร์ตัน (นอร์ตันสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่างรัฐ) แต่เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้พอที่จะไปเช้าเย็นกลับ แผนจะย้ายออกจากบ้านไปใช้ชีวิตนักศึกษาอย่างอิสระจึงถูกพับเก็บไปตามระเบียบ

คริสก็เหมือนกับผม พวกเราโตมาด้วยกัน คริสเป็นคนอัธยาศัยดี เพื่อนเยอะ ชอบงานสังสรรค์ เขาเป็นคนลากผมไปนั่นมานี่ พอลล่าเพิ่งมาเข้ากลุ่มตอนเข้ามหาวิทยาลัย เธอเป็นคนกล้าแสดงออก พูดจาโผงผาง ไม่ไว้หน้าใคร ด้วยความที่พอลล่าเป็นคนช่างพูดช่างคุย เธอจึงเข้ากับคริสได้เป็นอย่างดี เราสามคนมีเพื่อนห้อมล้อมอยู่เสมอ บางครั้งก็เป็นเพื่อนที่ผมรู้จัก บางครั้งผมก็ตกอยู่ในวงล้อมของคนแปลกหน้า

บางครั้งผมก็รู้สึกว่าผมไม่รู้จักใคร แม้แต่พอลล่า... แม้กระทั่งคริส

ด้วย ความที่คริสและพอลล่ามีเพื่อนฝูงคอยห้อมล้อมอยู่เสมอ ผมซึ่งจับพลัดจับผลูตกอยู่ในวงล้อมไปด้วยจึงถูกมองว่าเป็นคนเพื่อนเยอะไปโดย ปริยาย ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าผมมักจะรับบทผู้ฟังมากกว่าผู้พูด แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่เคยสังเกต ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองพูดไม่เก่ง ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ผมพูดไม่ออก หากไม่มีใครเดินเข้ามาพูดกับผม ผมก็ไม่เคยทักใครก่อน

...สวัสดี...

...สวัสดี...เทย์เลอร์



โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดึงดูดความสนใจของผมตลอดบ่าย ไม่ว่าจะเป็นระหว่างที่นั่งเรียนวิชาวรรณคดี หรือระหว่างทำข้อสอบย่อยวิชาจิตวิทยา ผมอยากหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดแอพลิเคชั่น Jack'd ดูอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด

ผมเห็นเทย์เลอร์ เทย์เลอร์คนเดียวกับที่กำลังนั่งทำข้อสอบย่อยวิชาจิตวิทยาอยู่บนอัฒจันทร์ ถัดออกไปสองแถว ผมเห็นเขาเก็บปอยผมขึ้นไปทัดใบหู กิริยานุ่มนวลเช่นเดียวกับที่ผมเห็นในห้องสมุดเมื่อเช้า เทย์เลอร์ยกด้ามปากกาขึ้นแตะริมฝีปาก มองตรงไปยังกระดานดำราวกับกำลังใช้ความคิด ก่อนจะก้มหน้า เริ่มต้นเขียนอะไรยุกยิกลงในกระดาษคำตอบ

ที่ผ่านมาสำหรับผม โลกของเทย์เลอร์คือภาพยนตร์ เขาคือตัวละครตัวหนึ่ง เทย์เลอร์ไม่เคยสนใจใคร เขามักจะเดินผ่านพวกเราไปราวกับเราไม่มีตัวตน เช่นเดียวกับเวลาที่เราดูหนังแล้วเห็นจอห์นนี่ เดปป์, คลินท์ อีสวู้ด, สการ์เล็ต โจแฮนสัน พวกเขาเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในโลกมายาของคนธรรมดา บางทีเราก็อดคิดไม่ได้ว่าพวกเขาไม่มีตัวตนอยู่จริง

โลกของเทย์เลอร์ไม่ใช่โลกของผม ผมรู้สึกเหมือนโลกของเราไม่มีวันบรรจบกัน ไม่มีวันเกี่ยวข้องกัน เขาอยู่ส่วนเขา ผมอยู่ส่วนผม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในโลกของเขา ไม่ว่าเขาจะถูกหัวเราะเยาะ ถูกล้อเลียน ก็ไม่เกี่ยวกับผม เพราะผมไม่ได้ร่วมวงว่าร้ายเทย์เลอร์ ไม่สนใจ และไม่พูดถึง ไม่ว่าจะมีข่าวลือร้ายกาจเกี่ยวกับเทย์เลอร์ผ่านมาเข้าหูสักกี่หน ผมก็ยังคงรู้สึกว่าเทย์เลอร์ แมคแองกัสเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกล แม้ไขว่คว้าก็ยากจะจับต้องได้

Jack'd เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมต่อโลกของเราเข้าด้วยกัน นี่สินะความรู้สึกของเกมเมอร์ที่ทะลุมิติเข้าไปยังโลกดิจิตอล

“เหลือเวลาอีกห้านาที”

เสียงศาสตราจารย์วอลแลงเกอร์ผู้สอนวิชาจิตวิทยาดังขึ้นจากหลังห้อง

กระดาษคำตอบของผมยังคงว่างเปล่า ขอกลับสู่โลกแห่งความจริงสักประเดี๋ยว



****************



ตามคำบอกเล่าของพ่อ ชื่อกลางของผมซึ่งบาทหลวงตั้งให้เมื่อแรกเกิดออกเสียงว่ามักซีม ไม่ใช่แม็กซีม แม่ไม่ชอบชื่อนี้แต่เกรงใจ ไม่อยากค้านบาทหลวง ความเกรงใจของแม่ทำให้ผมมีชื่อแปลกประหลาดติดตัวมาจนถึงปัจจุบัน ผมไม่เคยคิดจะบอกใครว่าผมมีชื่อกลางว่ามักซีมเหมือนกัน

โดยปกติแล้ว แม่จะเรียกผมว่าชอว์นนี่หรือจอว์นนี่ในเวลาที่แม่อารมณ์ดี เพื่อแกล้งให้ผมอารมณ์เสีย หากเมื่อใดก็ตามที่แม่เริ่มหงุดหงิด แม่จะเรียกผมว่า ‘ชอว์น’ หรือ ‘ชอว์น สเวน’ แม่ไม่เคยเรียกผมด้วยชื่อเต็ม ‘ชอว์น มักซีม สเวน’ เช่นเดียวกับที่แม่ไม่เคยเรียกนอร์ตันด้วยชื่อเล่น เราเคยพยายามเรียกเขา–ผู้ตัวใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่น-ว่า ‘สนอร์ตี้’ แต่ฟังดูไม่เข้าท่าจนเราไม่อยากเรียกเสียเอง

ผมนอนอยู่บนเตียง ในห้องที่เคยเป็นของผมและนอร์ตัน ผมได้ยินเสียงรถดับเครื่องที่หน้าบ้าน ตามด้วยเสียงแม่เรียก

“ชอว์นนี่!”

ผมตะโกนตอบ ถ้านอร์ตันยังอยู่ เขาก็จะทำอย่างเดียวกัน บางครั้งแม่แค่อยากรู้ว่าพวกเราอยู่บ้านหรือเปล่า พาเพื่อนมาบ้านหรือเปล่า กำลังทำการบ้าน เล่นเกมส์ หรือนอนหลับอยู่ บางครั้งแม่ก็จะย่องขึ้นบันไดมาเงียบๆ แล้วเคาะประตูดังๆ เพื่อแกล้งให้ลูกชายที่กำลัง ‘ประกอบกิจส่วนบุคคล’ สะดุ้งโหยงเล่น แต่แม่ไม่เคยเข้ามาในห้องของพวกเราก่อนได้รับอนุญาต แม่บอกว่า แม่จะไม่มีวันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของใคร แม้แต่ลูกชายของแม่เอง ถึงกระนั้นทั้งผมและนอร์ตันก็ยังไม่ได้รับความเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริงเพราะ เรายังต้องแชร์ห้องนอนกันอยู่นั่นเอง

ตอนนี้นอร์ตันย้ายไปแล้ว ห้องนอนตกเป็นของผม ตู้เสื้อผ้า ผนังสำหรับติดโปสเตอร์ โต๊ะเขียนหนังสือ ทุกสิ่งทุกอย่างตกเป็นของผม รวมทั้งความเป็นส่วนตัว แต่ก็มีบางเวลาที่ผมอยากใด้พี่ชายกลับมา

ผมพลิกตัวอยู่บนเตียง เปิดๆ ปิดๆ แอพลิเคชั่น Jack’d หลายครั้ง ถี่ขนาดที่... ผมเริ่มชินกับภาพผู้ชายเปลือยท่อนบนหรือภาพกล้ามเนื้อล่ำสันมันวับนั่นแหละ แม้คนที่สมัครสมาชิกด้วยภาพปกติมีมากกว่าคนที่เลือกใช้ภาพหมิ่นเหม่อนาจาร แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจพวกเขาอยู่ดี พวกเขาหวังอะไรจากที่แห่งนี้ เพื่อน? คนรัก? คู่นอน? หรือความสุขชั่วครั้งชั่วคราวจากการคุยกับคนแปลกหน้า? ในความคิดของผม ไม่ว่าจะเป็นสังคมเกย์ออนไลน์หรือหนุ่มสาวแปลกหน้าที่จีบกันไปจีบกันมาบนเฟส บุ๊คก็ไร้สาระไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

ถ้าเทย์เลอร์ไม่อยู่ในกลุ่มคนพวกนี้ ผมคงหัวเราะ ผมคงคิดว่าคนพวกนี้มันบ้า Jack’d คือสังคมออนไลน์ของเกย์กลัดมัน ผมคงปิดแอพลิเคชั่น ลบทิ้ง บ๊ายบาย โบกมือลา

แต่เทย์เลอร์ไม่ได้บ้า

...สามเหลี่ยมสีชมพูในวงกลมสีเขียว คือ สัญลักษณ์ของอคติที่ไม่มีวันหมดไปจากโลกนี้...

นี่หรือคำพูดของคนบ้า

ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ของเขา รสนิยมของของเทย์เลอร์ก็เหมือนเด็กผู้หญิงไม่มีผิด เขาชอบทำอาหาร เลี้ยงแมว ฟังเพลงของมินดี้ เกล็ดฮิล รูปภาพสามรูปที่อยู่ทางซ้ายมือของแถบประวัติเป็นรูปอาหาร หนังสือประวัติศาสตร์ปกแข็งและซีดีเพลง ภาพสุดท้ายเป็นรูปเทย์เลอร์อุ้มแมวเปอร์เซียสีเทานั่งตัก เทย์เลอร์ยิ้มเขินๆ ให้กล้อง

รอยยิ้มของเทย์เลอร์ รอยยิ้มที่ทุกคนที่มหาวิทยาลัยไม่เคยเห็น

รอยยิ้มที่ผมไม่คาดคิดว่าจะปรากฏบนใบหน้าที่เฉยเมยเย็นชาเหมือนรูปปั้นของเทย์เลอร์ แมคแองกัส

หากอยากคุยกับเทย์เลอร์ผ่านแอพลิเคชั่น ผมจำเป็นต้องสมัครสมาชิกก่อน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมไม่มีวันใช้ชื่อจริงหรือรูปถ่ายตัวจริงเด็ดขาด ผมค้นหารูปภาพด้วยกูเกิล เซฟรูปผู้ชายคนหนึ่งที่เขียนขอบตาดำ เจาะหูหลายรู ใส่เสื้อยืดสีดำเหมือนพวกนักแต่งหน้า เอามาใส่ในประวัติแทนรูปถ่ายของตัวเอง แต่งน้ำหนัก ส่วนสูง อายุ งานอดิเรก ผมชอบ... ชอบออกกำลังกายก็แล้วกัน จนกระทั่งมาถึงขั้นสุดท้าย...

ชื่อ

ชื่อ ชื่อ ชื่อ

ชื่อที่ผุดขึ้นลอยขึ้นมาในหัวของผมเป็นชื่อแรกคือ แม็กซ์

ไม่ได้ตั้งจากชื่อกลางของผม มักซีม แต่เป็นแม็กซ์คนนั้น แม็กซ์คนที่ฆ่ารูดี้ คนที่ยอมตายในฐานะยิวแต่ไม่ยอมตายในฐานะโฮโมเซ็กชวล ส่วนผมคือแม็กซ์ ชอว์น แม็กซ์ สเวนที่หยิบหน้ากากมาสวม คว้าสามเหลี่ยมสีชมพูมาแปะที่หน้าอก คือนาซีที่ลักลอบปะปนกับนักโทษเข้าไปในค่ายกักกัน เพื่อตามหาใครคนหนึ่ง โดยที่ไม่รู้สักนิดว่าทำไปเพื่ออะไร  วินาทีหนึ่งผมคิดว่า เป็นไงเป็นกัน อีกวินาทีหนึ่งก็คิดว่า ตัวเองกำลังทำเรื่องโง่งั่งอะไรอยู่ หากผมตามหาเทย์เลอร์ในเครื่องแบบนักโทษลายทางจนพบแล้วจะได้อะไร

ผมกลืนน้ำลาย หลอกตัวเองว่าผมพร้อมแล้วที่ทักทายเทย์เลอร์ เมื่อผมกดปุ่ม “เริ่มการสนทนา” หน้าจอก็เปลี่ยนเป็นหน้าที่มีแป้นพิมพ์ ผมสามารถส่งข้อความคุยกับเทย์เลอร์ได้เหมือนเวลาที่ผมใช้แอพลิเคชั่นสำหรับ สนทนาอย่าง What’s app

“สวัสดี” ผมพึมพำไปด้วย พิมพ์ไปด้วย “เทย์เลอร์” อ่านทวนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้พิมพ์ผิดหรือถูกโปรแกรมแก้คำผิดของไอโฟน เปลี่ยนคำพูดของผมเป็นอื่น

สวัสดี เทย์เลอร์

เขาไม่รู้ว่าผมคือใคร ไม่มีวันรู้

ส่งข้อความ

“ชอว์น!”

แม่เคาะประตูเสียงดังเสียจนผมสะดุ้งโหยง

“ทำอะไรอยู่?! แม่เรียกตั้งหลายทีแล้ว”

“ขอโทษฮะแม่” ผมคว่ำโทรศัพท์มือถือลงบนเตียง โทรศัพท์สั่น หรือว่าจะเป็นข้อความตอบกลับจากเทย์เลอร์? หัวใจผมเต้นแรง “ผม... ผมหลับอยู่”

“มาช่วยแม่หน่อย แม่เปิดกระปุกมายองเนสไม่ออก”

ผมซุกโทรศัพท์มือถือใส่ใต้หมอน สะบัดหน้าแรงๆ ก่อนจะยันตัวขึ้นจากเตียง

ผมโกหกแม่

ผมโกหกเทย์เลอร์

ผมโกหกทุกคนบน Jack’d

ผมโกหกเยอะแยะไปหมด



****************



การตกหลุมรักคืออะไร

ศาสตราจารย์เอ็ดมุนด์ วอลแลงเกอร์ อาจารย์ประจำวิชาจิตวิทยาถามคำถามนี้ในข้อสอบย่อย

ศาสตราจารย์วอลแลงเกอร์ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องความหลงตัวและเป็นเสือผู้หญิง แต่ข่าวลือแย่ๆ ก็ไม่อาจลบล้างความจริงที่ว่าเขาเป็นอาจารย์ที่มีคุณภาพและมีรอยยิ้มอันทรง เสน่ห์ แม้จะหลงตัวเองไปนิด แต่วอลแลงเกอร์ไม่ถือตัวกับนักเรียน เขาเป็นคนทันสมัย รสนิยมดี มีวาทะศิลป์ ศาสตราจารย์วัยสี่สิบปลายๆ อดีตหนุ่มรูปงามหาตัวจับยากมักจะหาหัวข้อที่น่าสนใจมาถกในห้องเรียน เพื่อให้ทุกคนได้ขบคิดอย่างสนุกสนาน เสริมสร้างจินตนาการและการมองโลกในแง่บวก

วอลแลงเกอร์เป็นอาจารย์แบบที่ผมไม่มีวันเป็นได้

ผมเขียนคำตอบลงกระดาษ ส่ง และได้รับกระดาษคำตอบคืนในหนึ่งอาทิตย์ถัดมา

ผมยังจำภาพวอลแลงเกอร์ในชุดสูทอาร์มานี่ได้ติดตา เขาอมยิ้มขณะส่งกระดาษคำตอบคืนให้ผม “สำหรับคำถามข้อนี้ เธอได้ A แต่ถ้านี่เป็นการจีบผู้หญิง เธอได้ F”

“ทุกคนอยากฟังคำตอบของสเวนหรือเปล่า?” โดยไม่รอคำตอบ วอลแลงเกอร์สั่งให้ผมอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียน

มนุษย์จะรับรู้ว่าตนเกิดอาการตกหลุมรักเมื่อเขาหรือเธอใกล้ชิดกับคนคนหนึ่งแล้ว เกิดความสบายใจ รู้สึกผ่อนคลาย พึงพอใจ เมื่อการพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กับใครคนนั้นก่อให้เกิดความสุขกายสบายใจ เขาหรือเธอก็จะชอบอกชอบใจเมื่อได้อยู่ใกล้คนคนนั้น คิดถึงอยู่เสมอ อยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเพื่อที่จะได้มาซึ่งความพึงพอใจนั้นตลอดไป หากได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นและความพึงพอใจไม่ได้หย่อนทอนลง ความรู้สึกที่ถูกเรียกว่ารักก็จะยิ่งงอกงาม นำมาซึ่งความสุขอย่างสูงสุด ความสนุกสนาน ไม่ว่าเมื่อใดก็คิดถึงแต่คนรัก คิดถึงแต่ความรัก ไม่ว่าเมื่อใดก็อยากจะเผ่นไปหา

ต่างอะไรกับคนติดบุหรี่ ต่างอะไรกับคนติดเหล้า ต่างอะไรกับคนสูบกัญชา

อ่านยังไม่ทันจบ ผมก็เงยหน้าขึ้นสบตาอาจารย์อีกครั้ง วอลแลงเกอร์ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม

“F” เขาชูนิ้ว “ย่อมาจาก Fuck You”

ผมหัวเราะ ทุกคนหัวเราะ ยกเว้นเพียงคนเดียว เทย์เลอร์หันมามอง ใบหน้าเรียบเฉยไม่มีแม้แต่ร่องรอยของรอยยิ้มบนมุมปาก เมื่อสบตากับผมเข้าก็เบือนหน้ากลับไปมองกระดานดำโดยไม่อิงนังขังขอบ






********* TBC *********




อาจจะเคยมีคนอ่านจนจบไปบ้างแล้วเพราะเคยลงจนจบในบล็อกไว้นานมาก ตอนนี้เรื่องเต็มเราเก็บเป็นดราฟต์ไป จะค่อยๆ ทยอยลงค่ะ

สามารถสั่งซื้อได้ตามแบบฟอร์มด้านล่างค่า

https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSeZs79kgm-ej28QGAbbqdp0YGmH_b9L5IW1FWZADcnAhqlLKQ/viewform


No comments:

Post a Comment