Saturday, July 26, 2014

Kiss of the Lamb (Part 1/3)




หมายเหตุ : นิยายเรื่องนี้แต่งโดยมีพื้นฐานมาจากคัมภีร์ไบเบิ้ล (เฉพาะกอสเปล) ค่ะ นอกเหนือจากกอสเปลทั้งสี่ฉบับแล้ว ยังมีบางส่วนอ้างอิงจากกอสเปลฉบับอื่นๆ ที่เชื่อกันว่าเป็นของอัครสาวกในสมัยนั้น เช่น ของมารี ชาวมักดาลา หรือ ยูดาส อิสคาริโอท ค่ะ

นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงพาโรดี้เท่านั้น และไม่ได้แต่งขึ้นเพื่อลบหลู่แต่อย่างใดค่ะ เราชอบและรักในคำสอนของพระเยซู แต่ก็มีบางอารมณ์… ที่เกิดความสงสัยในหลายๆ อย่าง ทำให้เกิดนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ

หากใครที่คิดว่าจะรับ พาโรดี้ ของคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ได้ กรุณาอย่าอ่านค่ะ



เรื่องนี้เขียนไว้หลายปีและเขียนจบไปแล้วค่ะ เป็นพาโรดี้ของไบเบิลที่แทบจะยกมาทั้งหมด แต่ตีความใหม่ในหลายๆ ตอน และเสริมแต่งสิ่งที่ไม่มีเขียนบรรยายไว้ในไบเบิลค่ะ ตัวเดินเรื่องไม่ใช่พระเยซู แต่เป็นยูดาส อิทคาริโอส คนที่ไม่เคยอ่านไบเบิลก็อ่านเข้าใจได้ ไม่จำเป็นต้องไปอ่านไบเบิลมาก่อนก็ได้ค่ะ

มีทั้งหมดสิบสามตอน (ทำไมเขียนอะไรก็สิบสามตอนจบ...) นี่ลงไว้สี่ตอน แต่เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงไม่ได้ลงไว้ที่ไหนอีก









- 1 -





ซามูเอลเล่าว่า ข้าถือกำเนิดในกระท่อมทางใต้ของบ้านเบธเลเฮม ในยามเย็นที่อากาศร้อน แดดร่มช้ากว่าวันอื่นๆ มารดาของข้าเจ็บท้องกว่าค่อนวัน นางถูกหามมานอนบนตั่งไม้ รายล้อมด้วยมารดาของนางและญาติผู้หญิงที่จะคอยช่วยเหลือนางในการคลอดบุตร ฝ่ายซีโมนผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของข้าและซามูเอลหลานชายของเขายืนเฝ้ายามอยู่นอกชาน แดดระอุแผดเผาผิวเนื้อ กลิ่นคาวเลือดเต้นรำไปพร้อมๆ กับสายลมร้อน แต่ร่างกายของพวกเขาสั่นเทาราวกับถูกบังคับให้ยืนต้านพายุ ซีโมนกลอกตาดูถนนหนทางทั้งซ้ายขวาไม่ให้คลาด คล้ายกับหวาดระแวงว่ามันจะถล่มทลายลง

“พระองค์เจ้าข้า! ได้โปรดชุบชีวิตเด็กนี้ด้วยเถิด” หญิงนางหนึ่งวิ่งพรวดพราดมาคุกเข่าวิงวอนบิดาของข้า เสื้อผ้าของนางเต็มไปด้วยคราบโคลนคราบเลือด เรือนผมสีเทาสกปรก ซีโมนบอกซามูเอลว่า หญิงบ้านี้ไม่มีสามีหรือบุตร แต่นางกลับอุ้มทารกที่ถูกบั่นคอขาดไว้แนบอก ร่างนั้นเป็นบุตรของผู้ใดมิอาจทราบ มันแข็งทื่อส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง ชายทั้งสองได้แต่จ้องมองนางด้วยความเวทนา “ได้โปรดคืนวิญญาณเขามาเถิด เขาเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ ตามพระวจนะของพระองค์!” นางโหยหวนทั้งน้ำตานองหน้า

นอกจากหญิงนี้แล้ว เพื่อนบ้านในละแวกต่างนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น ดวงตาเหม่อลอยสลับคลุ้มคลั่งไม่ผิดจากคนบ้า บางคนกอดศพทารกร้องไห้ บางคนหุนหันแล่นออกจากเรือนแล้วไม่หวนกลับมา บ้างจุดไฟเผาตัวตาย บ้างใจสลายจนพูดไม่เป็นภาษา ถนนหนทางเต็มไปด้วยเสียงสะอื้น ผืนดินปูด้วยพรมเลือดและร่างไร้วิญญาณ ยิ่งนานเสียงครางครวญยิ่งแหบแห้ง เช่นเดียวกับศรัทธาที่เหือดแห้ง ด้วยรู้ดีอยู่แก่ใจว่าแม้ภาวนาจนชีพวาย คนตายหรือจะหวนคืนมา







อ้างถึงคำบอกเล่าของนิโคเดมัส นิมิตหมายแห่งพิบัติอุบัติขึ้นราวสองปีก่อน

กัสปาร์ เมลคีออร์ และบัลทาซาร์ โหราจารย์จากทิศตะวันออกเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาเข้าเฝ้าเฮโรดมหาราชแห่งยูเดีย โอรสของอันทิปาเตอร์ เชื้อกษัตริย์ชาวอิดูเมอา โหราจารย์ถามหากุมารผู้ทรงบังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ด้วยพวกเขาเชื่อในพระวจนะซึ่งประกาศกเขียนไว้แต่กาลก่อน ความว่า ‘ผู้ครองแคว้นทั้งหลายมักมองข้ามบ้านเบธเลเฮมในแผ่นดินยูเดีย หากแต่บ้านเมืองนั้นหาใช่สถานซึ่งต้อยต่ำกว่าบ้านเมืองอื่นไม่ กษัตริย์จะทรงบังเกิดที่นั่น เขาคือผู้ครอบครองชนชาติของเรา’

ด้วยกลัวว่าจะสิ้นอำนาจ เพียงแค่คำทำนายทายทักอันมิอาจพิสูจน์ว่าเป็นความจริงแท้ก็ทำให้เฮโรดวุ่นวายพระทัย พระองค์จึงวางแผนจับตัวกุมารนั้นมาสังหารเสียให้สิ้นซาก พระองค์ส่งโหราจารย์ไปตามหากุมารที่บ้านเบธเลเฮม ถ้าพบก็ให้กลับมากราบทูล ทรงอ้างว่าพระองค์จะได้ไปนมัสการกุมารนั้นบ้าง โหราจารย์ทั้งสามรับปากแล้วก็ออกเดินทาง แต่พวกเขาไม่กลับไปเข้าเฝ้าเฮโรดอีกเลย เฮโรดรออยู่สองปีเต็มไม่เห็นโหราจารย์กลับมาถวายรายงานก็พิโรธโกรธเกรี้ยว สั่งทหารไปกวาดล้างเด็กชายอายุตั้งแต่สองขวบลงมาในเบธเลเฮมมิให้เหลือรอด

คนของเฮโรดขี่ม้ามาถึงเบธเลเฮมราวเที่ยง พวกเขาลงมือประหัตประหารเด็กทั้งหลายในเวลาที่บิดาทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำหาเลี้ยงครอบครัว พวกเขาเสียบแทงเด็กนั้นในยามที่มารดาอุ้มบุตรดื่มนม แม้นมิอาจรู้ว่าเด็กคนใดเป็นหญิงหรือชาย หรือยากจะคาดเดาว่าเด็กอายุเท่าไร ขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กแบเบาะต้องถูกกำจัดทั้งนั้น คมดาบเล่มแล้วเล่มเล่าฟาดฟันร่างกระจ้อยซึ่งมิได้ผิดบาปอันใด ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เลือดพุ่งเป็นสายบนอกของมารดา เสียงหวีดร้องอย่างหวาดผวาดังสนั่นดั่งฟ้าถล่ม พวกผู้หญิงที่ปกป้องบุตรของนางล้วนถึงแก่ความตาย พวกผู้ชายที่จับอาวุธขึ้นต่อต้านล้วนจบชีวิตอย่างอนาถา เช่นเดียวกับเลือดในอกของพวกเขา

จวนบ่าย เงาไม่ทันทอดยาว กองทหารก็แกว่งดาบกวาดวิญญาณนับร้อยไปถวายเฮโรดหมดสิ้น

แต่มัจจุราชยังวนเวียนอยู่ไม่ไกล








มารดาของข้าเคยถูกรุมประณามว่าเป็นหญิงผิดประเวณีเพราะนางตั้งครรภ์แต่หามีสามีไม่ ซีโมนสหายเก่าช่วยเหลือโดยการรับนางเป็นภรรยาแม้บิดามารดาของเขาจะคัดค้านหัวชนฝา กระท่อมของสองสามีภรรยาทั้งเตี้ยทั้งแคบ ดูเหมือนโรงเก็บฟืนมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่ความยากจนข้นแค้นก็ช่วยให้มารดาของข้ารอดพ้นเงื้อมมือทหารมาได้ หญิงท้องแก่คนอื่นๆ ล้วนถูกแบกออกจากเรือนไปกักไว้รวมกัน พวกนางอาจต้องตายทั้งกลม

“ถ้าเด็กคนนี้เกิดเป็นชาย เขาคงถึงคราวเคราะห์แน่แท้” ยายของข้าครางด้วยใบหน้าอมทุกข์ หญิงเหล่านั้นจึงร่วมกันภาวนา “ขอให้เป็นหญิงเถิด… ขอให้เด็กคนนี้เกิดเป็นหญิงเถิด…” คนหนึ่งในนั้นจับศีรษะของข้าไว้ อีกหนึ่งคนใช้ผ้าขาดรุ่ยตะครุบปากมารดาของข้าไม่ให้ร้องแม้เจ็บเจียนตาย มารดาของข้าดิ้นทุรนทุราย ปลายนิ้วหยาบกร้านด้วยตรากตรำทำงานจิกขอบตั่งจนผิวหนังแตกออก

“นางกัดมือข้า!” หญิงผู้ถือผ้าอุดปากร้องเสียงหลงแล้วสะบัดผ้าชุ่มน้ำลายทิ้ง

“เงียบเสีย อุดปากนางไว้!” หญิงชราผู้นั่งอยู่ตรงปลายเตียงตวาด

ไม่ทันขาดคำ มารดาของข้าก็ครวญครางด้วยความเจ็บ

“อุดปากนางไว้!”

พวกผู้ชายที่อยู่ภายนอกเคาะผนังกระท่อม “อย่าเสียงดัง” มารดาของข้าจึงกัดริมฝีปากห้ามตนเองไม่ให้เปล่งเสียง

“ซูซานนา แข็งใจไว้”

“อีกนิดเดียว”

“ข…ข้า…กลัว… กลัวว่าเขา… จะเป็นเด็กผู้ชาย…” มารดาของข้าพ่นลมหายใจหอบถี่ น้ำตาแห่งความวิตกเอ่อท้น

“เขาจะรอด” ยายของข้าปลอบประโลม “ถ้าเจ้าคลอดเขาออกมาได้ เราจะซ่อนเขาไว้ แล้วพาเขาไปเยรูซาเล็ม”

“แต่…พวกทหาร…”

“เราจะทำทุกอย่างที่ทำได้”

มารดาของข้ายังมิอาจวางใจ นางร่ำไห้อย่างขมขื่น แต่เวลาเหลือไม่มากแล้ว นางได้ยินหญิงชราที่ปลายเท้าเร่งจึงออกแรงเบ่งครั้งสุดท้ายก่อนจะหมดสติไป

หากข้ารู้ว่าตัวข้าสร้างความเศร้าโศกให้นางเช่นนี้ ข้าจะไม่ยอมเกิดมาเลย

“พระเจ้าทรงโปรด” หญิงชราอุทานอย่างตื่นตระหนกเมื่อเห็นร่างโชกเลือดของทารกแรกเกิด

พวกผู้ชายเปิดประตูเข้ามา “หญิงหรือชาย”

“โอ ซีโมน!” หญิงชราหายใจแรง ”เด็กผู้ชาย… เขาเป็นเด็กผู้ชาย…”

บิดาของข้าเบิกตากว้าง สันหลังเย็นวาบ “ถ้าพวกทหารพบเข้า เขาจะต้องตาย”

“ขอพระเจ้าสาปแช่งเฮโรด!” ยายของข้าถึงกับตีอกชกตัว หญิงทั้งหลายร่วมแช่งด่า “วิบัติจงเกิดแก่มารร้ายที่เข่นฆ่าเด็กไร้เดียงสา”

“เราจะทำอย่างไรกับเด็กคนนี้ดี เราต้องปกป้องเขาจากเงื้อมมือของทหาร”

“ซ่อนเด็กไว้ในเกวียนก่อน พรุ่งนี้เช้าซามูเอลออกเดินทางกลับบ้าน ให้เขาพาเด็กไป ซีโมน… เจ้าต้องไปกับเขาด้วย”

“ข้าจะซ่อนเด็กไว้ในหีบใส่ผ้า แล้วค่อยนำเขาออกมาเมื่อพ้นทุ่งหญ้าไปแล้ว” ซามูเอลรับคำแข็งขัน

“ซ่อนเขาไว้ในเรือนของเจ้าจนกว่าเฮโรดจะสิ้น” ยายของข้ากำชับ “ข้าจะหาทางส่งซูซานนาตามไป”

หญิงชราเช็ดตัวข้าจนสะอาดดีแล้วนำมาห่อผ้าไว้ ผ้าที่ใช้หุ้มห่อทรุดโทรมยิ่งกว่าผ้าเช็ดเท้า สากและเหม็นหืน จากนั้นนางก็ยื่นร่างน้อยให้บิดา “ดูไว้อย่าให้เด็กร้อง”

แรกเกิด ข้าตัวเล็กกว่าทารกอื่นๆ ผมหยักศกดำเป็นมันเช่นเดียวกับมารดา เปลือกตาปิดสนิท แต่ทุกคนในที่นั้นแน่ใจว่า สักวันหนึ่งข้าต้องมีนัยน์ตาเปี่ยมประกายหาญกล้าเช่นเดียวกับซีโมนผู้ที่จะเลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่

“เราจะเรียกเขาว่าอย่างไรดี” ซีโมนเอ่ยอย่างชื่นอกชื่นใจ แม้แต่เรื่องร้ายกาจที่สุดก็ไม่อาจผลักไสความปีติไปจากเขาได้ ทันทีที่สัมผัสความอบอุ่นจากห่อผ้าก็กุลีกุจออุ้มข้าไปอวดหลาน

“น่าเกลียดน่าชังเสียจริง” ซามูเอลหยอดคำเยินยอแล้วเอื้อมมือมาจับแก้มข้าเบาๆ “เมื่อไรอาหญิงจะฟื้นเล่า? เราจะได้ให้นางอุ้มเขา”

“ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนั้นดอก” หญิงชราเอ็ด “รีบนำห่อผ้านั่นไปซ่อนให้พ้นหายนะเถิด พวกข้าจะพยาบาลซูซานนา”

“เด็กน้อยที่น่าสงสาร ดูสิ เขายังไม่ลืมตาเลย” ซามูเอลเผยยิ้มหมองเศร้า “ถ้าเพียงแต่เขาเกิดเป็นหญิง…”

ซีโมนวางห่อผ้าลงบนฝ่ามือของซามูเอล แล้วโอบกอดทั้งบุตรหลานพร้อมกัน

“อย่าเพ่อพูดเลย ญาติที่รักเอ๋ย ทหารของเฮโรดใกล้เข้ามาทุกที” บิดาของข้ากัดฟันด้วยความแค้น “ข้าจะดูต้นทางให้ ส่วนเจ้าอุ้มเขาไป เราจะออกเดินทางตั้งแต่รุ่งสาง” เขาบอกแล้วเดินไปเปิดประตู

“พระองค์เจ้าข้า! ได้โปรดชุบชีวิตให้เขาด้วยเถิด!” หญิงบ้าโผเข้าใส่ทันทีที่ซีโมนแง้มประตู “ได้โปรดชุบชีวิตให้บุตรของข้าด้วย!”

“ไปให้พ้นนะ” ซีโมนขับไล่เพราะกลัวว่าเสียงของนางจะดึงดูดความสนใจของทหาร

หญิงวิกลจริตสะบัดตัวอย่างดื้อดึง และแล้วนางก็เหลือบเห็นซามูเอลกับทารกน้อยในอ้อมกอด

“บุตรของข้า!” นางปาดน้ำตาแล้วเขวี้ยงศพหัวขาดในมือทิ้งให้กลิ้งหลุนๆ ไปหยุดข้างบ่อน้ำ “พระเจ้าเมตตาข้าแล้ว! ทรงสำแดงปาฏิหาริย์แล้ว!”

“อย่าแตะต้องเขานะ!” ซีโมนตวาด แต่หญิงบ้าไม่ฟังเสียง นางวิ่งถลามาผลักซามูเอลล้มคว่ำ ก่อนจะตะปบห่อผ้าไปจากมือ

ข้าตกใจจึงร้องจ้า

“เอาเด็กคืนมา!”

ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินกีบม้าระรัวกระทบพื้น เสียงโวยวายอึกทึกเรียกให้คนของเฮโรดตรงมาพร้อมอาวุธครบมือ

ฝ่ายหญิงบ้าคว้าห่อผ้าได้ก็โจนหนี “เขาตายแล้วฟื้นขึ้นใหม่! พระเจ้าทรงรักเขาแท้ๆ!”

“ซามูเอล! ตามนางนั่นไป! ข้าจะสะกัดพวกทหารเอง”

“ข้าไม่มีวันทิ้งพวกท่าน” ซามูเอลลั่นวาจา “เราต้องหนีไปด้วยกัน”

“ขอชีวิตของเจ้าไว้ปกป้องบุตรของข้า”

“แต่… ท่านอา…”

ทหารขี่ม้ามาใกล้พอที่ครอบครัวยากจนจะได้ยินเสียงดาบเคลื่อนออกจากฝักแหลมเสียดหู

…ดุจหนึ่งเสียงกรีดร้องของมัจจุราชกระนั้น…

“ข้าได้ยินเสียงเด็กทารก! จับพวกเขาไว้!” หนึ่งในกลุ่มทหารคำรามก้อง

พวกผู้หญิงกรีดร้องอย่างเสียขวัญ หญิงชราพายายของข้าออกไปทางหลังบ้าน เกวียนอาการร่อแร่ของซามูเอลจอดอยู่ แต่ทหารก็ควบม้ามาดักรออยู่เช่นกัน

“ขอดวงใจของเจ้าห่วงหาเพียงบุตรของข้าเถิด” ซีโมนวิงวอนซามูเอลด้วยแววตาอาวรณ์ “ญาติที่รักเอ๋ย จงรอด และช่วยบุตรของข้าให้รอด”

ซีโมนหันไปเผชิญหน้ากับความตาย มือสั่นเทาคว้าดาบ ใจเหี้ยมหาญแผดเสียงกร้าว “วิบัติแก่เฮโรด!”

ซามูเอลตัดใจทิ้งความร้าวรานไว้เบื้องหลังแล้วออกวิ่ง





ข้าลืมตาเป็นครั้งแรก…

แววตาสีนิลสะท้อนภาพคนหนุ่มสะอึกสะอื้นมาแต่ไกล








- 2 -





เรื่อยขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จากบ้านเบธเลเฮมสู่กรุงเยรูซาเล็ม ซามูเอลแย่งห่อผ้าคืนจากหญิงบ้าแล้วออกเดินเท้าเพียงชั่วข้ามคืนก็ถึงที่หมาย กำแพงก่อด้วยหินก้อนสูงตระหง่านสะท้อนแสงจันทร์ ปราศจากคนยืนยามเฝ้าประตูอย่างเคย กระบองและดาบตกเกลื่อนกลาดเต็มพื้น แต่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ หากมิใช่ยามรักษาการณ์ละเลยหน้าที่การงาน ก็คงเพราะวิญญาณจากเบธเลเฮมที่เดินทางมาเฝ้าเฮโรดขับยามกระจัดกระจายไปหมด

ซามูเอลลืมความเหน็ดเหนื่อยแล้วเร่งฝีเท้าเร้นกายเลียบฝั่งถนนไปยังทางเดินซึ่งปูด้วยหิน ทางสายนี้ทอดยาวไปสู่พระวิหารและบ้านของชนชั้นขุนนางกับเหล่าปุโรหิต

นิโคเดมัสเป็นขุนนางและเป็นพวกฟาริสี พวกนี้ได้ชื่อว่าเป็นธรรมาจารย์ของชาวยิว ครอบครัวของซามูเอลรับใช้นิโคเดมัสมาช้านาน นิโคเดมัสเป็นคนมีคุณธรรม ชุบเลี้ยงบ่าวไพร่ด้วยเมตตาจิต นายและบ่าวจึงรักใคร่ไว้เนื้อเชื่อใจกันมาก ซามูเอลอุ้มข้าไปยังนิเวศน์ของนิโคเดมัส รอจนตะวันฉายก็เข้าไปหานาย เล่าเรื่องราวของข้าให้นายฟังแล้วขอให้ช่วยเหลือ นิโคเดมัสเห็นห่อผ้าเปื้อนฝุ่นก็เกิดเวทนาสงสารจึงยอมรับข้าเข้าบ้าน โดยออกปากกับซามูเอลว่าจะชุบเลี้ยงข้าเช่นบ่าว แต่ซามูเอลขอร้องให้ซุกซ่อนข้าไว้จนกว่าจะสิ้นรัชกาลเฮโรด

ข้าเกิดได้แปดวัน นิโคเดมัสก็ให้เข้าพิธีถวายตัวแด่พระเจ้าและเข้าสุหนัต

“ให้ชื่อทารกนี้ว่ายูดาส เขารอดจากคมดาบของเฮโรดเพราะพระเจ้าให้พรเขาแล้ว” นิโคเดมัสกล่าว “ต่อจากนี้ไป เราจะเรียกเขาว่ายูดาส อิสคาริโอท ตามซีโมน อิสคาริโอทผู้เป็นบิดา”

ซามูเอลเห็นพ้องต้องกัน

หญิงรับใช้ที่คอยเลี้ยงดูข้าทำงานน้อยกว่านางสนมของกษัตริย์ ข้าไม่ร้องงอแง ไม่เคยเจ็บป่วย ไม่หัวทิ่มคะมำ เด็กอื่นๆ มักอ่อนแอและติดโรค แต่ข้ากลับมีสุขภาพแข็งแรงดี ความร้อนจากแสงแดดหรือก็ทำร้ายข้าไม่ได้ นิโคเดมัสเห็นดังนั้นก็หวนคิดถึงคำทำนายของโหราจารย์ทั้งสาม

“ชะรอยเด็กคนนี้คงไม่ธรรมดา” นิโคเดมัสกล่าวแก่ญาติของข้า “มอบยูดาสให้ข้าเลี้ยงดูเถิด ข้าจะรักเขาเหมือนบุตรชาย”

“เป็นโชคของเขาแล้ว” ซามูเอลตอบ “โปรดเลี้ยงดูเขาให้ยิ่งใหญ่เท่าซีโมนบิดาของเขาเถิด ให้เขามีเมตตา หาญกล้า และฉลาดเฉลียว”

“ยูดาสอาจเป็นกษัตริย์ตามคำทำนายของผู้เผยวจนะ”

เมื่อได้ฟังเจ้านายว่าดังนี้ ซามูเอลก็คิดถึงโศกนาฎกรรมเมื่อสองปีก่อนแล้วหลั่งน้ำตาอาลัยอีก







ข้าอายุได้ไม่ถึงสองขวบปี เฮโรดมหาราชก็สิ้นพระชนม์ด้วยโรคไตและโรควิตกจริตนานา ตลอดเวลาที่ครองบัลลังก์ กษัตริย์ผู้อำมหิตไม่เคยพอพระทัยในเรื่องใดเลย พระองค์ทรงทำนายได้ว่าจะไม่มีผู้ใดเศร้าโศกและคร่ำครวญให้ในยามที่พระองค์เสด็จสู่ขุมนรก เมื่อเงามรณะเคลื่อนมาจรดพระเศียร พระองค์ก็ตรัสสั่งให้ทหารจับคนมีชื่อเสียงจำนวนมากมาประหารชีวิต ให้เกิดเสียงร่ำไห้อาดูรกระหึ่มดังดังปรารถนาในเวลาเดียวกับที่พระองค์สิ้นพระชนม์

วิบัติเอ๋ย วิบัติแก่เฮโรด วิบัติแก่มหาราชา

สุดท้ายก็เป็นได้แค่คนบ้าที่ปวงประชาสาปส่ง









ก่อนสิ้นพระชนม์ เฮโรดทรงแบ่งแผ่นดินออกเป็นสามส่วนให้แก่โอรสสามพระองค์ แล้วแจ้งเจตจำนงไปยังจักรวรรดิโรม จักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัสเห็นควรให้ เฮโรด อาร์เคลาอัสโอรสองค์โตครองยูเดีย สะมาเรีย และเอโดม ทว่าอาร์เคลาอัสมีจิตใจโหดเหี้ยมเหมือนพระบิดา ชาวยิวรวมไปถึงชาวโรมันเกลียดชังพระองค์มาก อาร์เคลาอัสครองราชสมบัติได้เพียงสองปีก็ถูกปลด ทางจักรวรรดิโรมจึงแต่งตั้งปอนทิอัส ปีลาตมาปกครองเมืองเหล่านี้แทน

ฝ่ายอนุชาทั้งสองอันได้แก่ เฮโรด อันติพาสให้เป็นเจ้าเมืองกาลิลี เฮโรด ฟีลิปที่สองเป็นเจ้าเมืองอิทูเรียและตราโคนิติสทางตอนเหนือและตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี ในภายหลัง ฟีลิปที่สองได้สร้างเมืองซีซารียา ฟีลิปปีและเมืองเบธไซดา ท่านเป็นที่รักของประชาชน แผ่นดินที่ท่านปกครองจึงมีแต่สุขสงบและวัฒนา








ในปีที่สิบแห่งรัชกาลพระจักรพรรดิทิเบรีอัส  ข้ามีอายุได้ยี่สิบสามปี

ในปีนั้น ซามูเอลก็เสียชีวิต

ข้านั่งคุกเข่าอยู่เคียงข้างเขาจนลมหายใจสุดท้ายมาถึง ข้าสัญญาว่าจะกุมมือของเขาไว้จนกว่ามันจะเย็นชืด ข้าไม่เคยเห็นซามูเอลมีสีหน้าสุขใจแบบนี้มาก่อน ริมฝีปากซีดเซียวด้วยพิษไข้ฝืนคลี่ยิ้มอำลา เขาอวยพรข้าทั้งน้ำตา ทว่าความห่วงใยที่มีต่อข้ายังด้อยกว่าความคิดถึงต่อผู้ล่วงลับ

“หากเจ้ามีความรัก เจ้าจะไม่กลัวความตาย” ซามูเอลกล่าวเสียงเครือ

แล้วคนที่ข้ารักยิ่งก็จากไป ข้าหวังอย่างยิ่งว่าเขาจะได้โอบกอดซีโมนบิดาของข้าอีกครั้ง









จากวัยเยาว์จวบจนเติบใหญ่ นิโคเดมัสกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูข้าให้ห่างไกลจากมลทินทั้งมวล

ข้าไม่เคยต้องตกระกำลำบาก ไม่เคยได้แผลฟกช้ำดำเขียว ไม่ต้องทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำเหมือนบ่าวหญิงชายที่ข้าเคยเล่นหัวด้วยสมัยเด็ก เพราะข้ามีพวกเขาคอยรับใช้ ร่างกายของข้าสมบูรณ์แข็งแรง ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน นิโคเดมัสตกแต่งข้าด้วยผ้าย้อมและแหวนกำไล ท่านโพกศีรษะของข้าด้วยผ้าทองามวิจิตร ผู้คนมากมายประสบทุกข์สาหัส อดอยากยากจน ซ้ำยังโดนชาวโรมันรีดเงินภาษี แต่โชคของข้าไม่มีพร่อง

เนื่องจากกษัตริย์มิควรดำเนินรอยตามธรรมาจารย์ นิโคเดมัสจึงมิได้รับข้าเป็นศิษย์ แต่แล้วไม่นาน ท่านก็เลิกเอาใจใส่คำทำนายบุราณนั้นเสีย เพราะข้าเฉยเมยต่อทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นธรรม อำนาจ หรือความคึกคะนองตามประสาวัยหนุ่ม ถึงกระนั้นท่านก็ยังรักและเมตตาข้ามากเสียจนข้าไม่สามารถสรรหาสิ่งสูงค่าพอจะตอบแทนบุญคุณของท่านได้หมด นิโคเดมัสคิดอ่านจะจัดงานสมรสให้ข้าหลายหน ข้าพบหญิงงามมากมาย แต่ไม่อยากรู้จักหญิงใดสักคน

นิโคเดมัสแสดงความไว้เนื้อเชื่อใจข้าโดยมอบหน้าที่เก็บเงินให้ข้าดูแล เงินส่วนหนึ่งแบ่งไว้แจกบ่าวตามสมควร อีกส่วนหนึ่งเจียดไปทำทาน ยามว่าง ท่านก็สอนให้ข้าฟังธรรมอ่านพระวจนะ แม้ไม่ได้ศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจัง แต่ข้าก็จดจำพระธรรมบัญญัติที่ผ่านตาได้ครบถ้วน ทั้งยังปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยเหตุว่าข้าอาศัยอยู่กับฟาริสี

ผู้นำทางศาสนาของชาวยิวแบ่งออกเป็นสองพรรค คือพรรคฟาริสีและพรรคสะดูสี พวกฟาริสีมีจำนวนมากกว่า ฟาริสีมักเคร่งครัดในธรรมเนียมประเพณี คอยตีความพระธรรมบัญญัติ พวกเขาละเว้นข้อห้ามต่างๆ เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย ฟาริสีทุกคนล้วนหลงคิดว่าพระเจ้าพอพระทัยเฉพาะพวกเขา พวกเขาจะไม่ยอมคบค้ากับคนต่างชาติหรือชาวยิวที่ละเมิดธรรมบัญญัติของโมเสส นอกจากธรรมบัญญัติแต่ดั้งเดิมแล้ว พวกฟาริสียังบัญญัติกฎเพิ่มเองด้วย อาทิ การชำระล้างและการถือศีลอด พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่ออ้างชื่อโมเสสทำให้ทุกคนดำเนินชีวิตได้ยากขึ้น

ส่วนพรรคสะดูสีมีสิทธิ์มีเสียงมากในพฤฒสภา ได้แก่มหาปุโรหิตเป็นประธานสภา ร่วมด้วยพวกผู้ใหญ่และธรรมาจารย์ พฤฒสภาอยู่ใต้อำนาจของจักรวรรดิโรม สามารถตัดสินคดีความได้ แต่ไม่มีกฎหมายสำหรับประหารชีวิต จึงไม่มีสิทธิ์ประหารนักโทษนอกจากจะผ่านการพิจารณาจากทางโรมแล้วเท่านั้น ผู้นำทางศาสนากลุ่มนี้ปฏิเสธคำสอนทุกอย่างที่ไม่ได้บันทึกไว้ในพระธรรมบัญญัติ ในตอนนั้นอันนาสและคายาฟาสบุตรเขยดำรงตำแหน่งมหาปุโรหิต แต่อันนาสกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ

สำหรับข้า พวกเขา ยกเว้นนิโคเดมัส คือตาเฒ่าหัวโบราณ หัวแข็ง หัวดื้อ ซ้ำร้ายบางคนยังหัวหงอกสมองทึบ

นิโคเดมัสพาข้าไปฟังธรรมที่ศาลาบ่อยครั้ง แต่ไม่ชักชวนให้ข้าร่วมสนทนา ข้านั่งฟังพวกเขาถกเถียงกัน บ้างยกยอกันเองก่อนจะเทิดทูนพระเจ้า บ้างหยอดเศษเงินของตนใส่กล่องทานแล้วประณามคนยากจนว่าไร้ศรัทธา

หรือพระเจ้าทรงนับศรัทธาเป็นเดนารี





- 3 -







อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะเขียนไว้ว่า

‘เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าพระองค์ ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของพระองค์ไว้’

‘จะมีเสียงจากถิ่นทุรกันดารว่า จงเตรียมมรรคาของพระเป็นเจ้า ทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป หุบเขาทุกแห่งจักถูกถมเต็ม ในขณะที่ภูเขาและเนินจักยอบ ทางคดกลับตรง ทางสูงต่ำกลับราบ แล้วมนุษย์ทั้งปวงจักได้ประจักษ์ความรอด’

คำของผู้เผยวจนะมักเข้าใจยาก กำกวม และนำมาซึ่งความโกลาหล ทว่าเสียงจากแดนกันดารก็ดังขึ้นจริงแล้ว

เจ้าของเสียงนั้นคือ ยอห์น บุตรของเศคาริยาห์ ท่านลาบิดามารดาออกรอนแรมตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น หนหลังท่านปรากฏตัวที่ลุ่มแม่น้ำจอร์แดน หมู่บ้านเบธาบารา ประกาศสั่งสอนให้ผู้คนสำนึกบาปและเข้ารับบัพติสมา เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดให้

ยอห์นผู้นี้ได้กล่าวติเตียนเฮโรดเจ้าเมืองกาลิลี เนื่องจากเฮโรดรับเจ้าหญิงเฮโรเดียสภรรยาของพระเชษฐามาเป็นภรรยาของตัว ชาวเมืองที่ศรัทธาในตัวยอห์นจึงรุมประณามเฮโรดและเฮโรเดียส บางคราวก็เอาหินขว้างปาเมื่อเห็นเกี้ยวเจ้าเมือง เฮโรดจึงกริ้วโกรธ คิดอ่านหาวิธีกำจัดยอห์นอยู่เนืองๆ ถึงกระนั้น คนจำนวนมากก็ยังไปหาท่านเพื่อสารภาพความผิดของตนและชำระบาป รวมถึงฟาริสีและสะดูสี พวกเขาคิดว่าท่านเป็นพระคริสต์ เป็นพระมหาไถ่ตามคำทำนาย

ธรรมาจารย์ถามท่านว่าท่านเป็นใคร “ท่านเป็นพระคริสต์หรือ”

ยอห์นตอบว่า “ข้ามิใช่พระคริสต์”

“ถ้าอย่างนั้น ท่านก็เป็นเอลียาห์หรือผู้เผยวจนะ”

“หามิได้” ยอห์นปฏิเสธ “ข้าคือเสียงจากถิ่นกันดารตามที่ประกาศกอิสยาห์เคยกล่าวไว้ ข้าคือผู้เบิกมรรคาของพระเจ้าให้ตรงไป” แล้วก็ประกาศข่าวประเสริฐว่า “พระองค์จะเสด็จมาทีหลัง ทรงมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าข้าเสียอีก ข้าไม่คู่ควรแม้จะก้มลงแก้สายฉลองพระบาทให้พระองค์ด้วยซ้ำ ดูเถิด ข้าให้เจ้ารับบัพติสมาด้วยน้ำ แต่พระองค์จะให้เจ้ารับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และไฟ พระองค์ทรงถือพลั่วพร้อมชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว ตักข้าวเก็บไว้ในยุ้งฉาง ส่วนแกลบจะถูกเผาด้วยไฟซึ่งไม่มีวันดับ”





วันหนึ่ง หลังตะวันเบิกฟ้า นิโคเดมัสกล่าวแก่ข้าว่า “บุตรเอ๋ย เจ้าไปฟังยอห์นผู้ให้รับบัพติสมาน่าจะดี ตอนนี้ท่านอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดน แล้วกลับมาเล่าให้ข้าฟังว่าท่านพูดอะไร”

ข้าละสายตาจากสมุดบัญชีและเหรียญเงิน “ไปฟังแล้วต้องรับบัพติสมาด้วยหรือ”

ท่านยิ้มก่อนจะส่ายหน้า “จะรับบัพติสมาหรือไม่ก็แล้วแต่ใจเจ้าเถิด เพราะในสายตาของข้า เจ้าไม่มีบาปสักอัน”

ข้ารีบสะสางงานประจำวัน จากนั้นก็รับผ้ามาคลุมศีรษะแล้วออกจากเรือน พวกบ่าวนึกว่าข้าจะไปรับบัพติสมาก็ขอติดตามไปด้วย แต่พวกเขายังมิได้หาบน้ำกับผ่าฟืน ข้าจึงบอกให้พวกเขาลาไปได้คนละครั้ง แล้วก็ขี่ลาออกเดินทาง

หลายวันถัดมา ลาของข้ายังไม่อ่อนเปลี้ย

กรวดหินกลางถนนแสบร้อนด้วยไอแดด ถึงกระนั้นข้าก็มีเพื่อนร่วมทางจำนวนไม่น้อย ข้าเห็นผู้ศรัทธาในชุดซอมซ่อลากฝ่าเท้าเปลือยเปล่าไปยังแม่น้ำจอร์แดน บางคนอุ้มเด็กแดงๆ มาด้วย เมื่อถึงก็จับจองบริเวณที่ลุ่มริมฝั่ง ทุกคนจับจ้องบุรุษกลางลำน้ำด้วยแววตาเปี่ยมหวัง ข้าจึ่งรู้ได้ทันทีว่าบุรุษนั้นคือยอห์น บัพติสต์

ยอห์นใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทราย นุ่งห่มขนอูฐ ใช้หนังสัตว์คาดเอว ได้ยินว่าท่านรับประทานจักจั่นกับน้ำผึ้งเป็นอาหาร ไม่ลุ่มหลงสุราเมรัย พระเจ้ามาปรากฏแก่ท่าน รบเร้าให้ท่านเทศนาสั่งสอนกับทำพิธีบัพติสมา ท่านก็ทำตามนั้น ร่างสูงกำยำถือไม้เท้าหัวกางเขน ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางสายน้ำเย็นฉ่ำ เรือนผมดกหนาราวกับไม่เคยถูกตัดแต่งปลิวสยายเรี่ยผิวน้ำ ใบหน้าของท่านอิ่มเอิบ แววตาเปี่ยมสุข ริมฝีปากเผยอยิ้มเอื้ออารีคล้ายกำลังเงี่ยหูฟังลูกคลื่นบรรเลงเพลงกระนั้น

ข้าเดินไปเมียงมองริมน้ำ ยึดหินใหญ่ก้อนหนึ่งเป็นกำบังแดด เงาหินบดบังข้ามิด จากกลางแม่น้ำมองมาเห็นแค่ลา แต่ข้าได้ยินเสียงของยอห์นชัดเจน

พวกฟาริสีใช้คนมาหายอห์นอีก เพราะชายพิกลผู้นี้จะมีอำนาจยิ่งกว่าพวกธรรมาจารย์มิได้ แต่คนของฟาริสีเชื่อถือยอห์นมากกว่า พวกเขาอยากรับบัพติสมา ยอห์นจึงร้องถามว่า “อ้ายชาติงูร้าย ใครเตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาที่จะมาถึง”

คนของฟาริสีมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“จงผลิดอกออกผลให้พอแก่การสำนึกบาป อย่าหลงคิดว่าตนมีอับราฮัมเป็นบิดา พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจสร้างบุตรจากก้อนหินให้แก่อับราฮัมก็ได้ บัดนี้ ขวานรออยู่ใต้ต้นไม้แล้ว ต้นใดไม่เกิดผลงามดีต้องถูกตัดทิ้งโยนเข้ากองไฟ”

ประชาชนจึงร้องถามท่านว่า “เราจักต้องทำประการใด”

ท่านตอบว่า “ผู้ใดมีเสื้อสองตัว จงปันให้แก่คนที่ไม่มี ใครมีอาหารมากก็ต้องปันด้วย”

พวกคนเก็บภาษีมาขอรับบัพติสมาก็ถามท่านว่า “แล้วพวกข้าต้องทำประการใด”

“เจ้าต้องอย่าเก็บภาษีเกินพิกัด”

ฝ่ายพวกทหารถามท่านว่า “พวกข้าเล่า ต้องทำประการใด”

ท่านตอบพวกเขาว่า “อย่ากรรโชก อย่าใส่ความเพื่อขูดรีดเงิน พอใจในค่าจ้างของตัว” และประกาศสั่งสอนอีกหลายประการ

ข้าได้ฟังแล้วก็ถึงแก่ปลาบปลื้มใจ นิยมชมชอบยอห์น บัพติสต์ยิ่งนัก

ยอห์นส่งไม้เท้าให้สานุศิษย์เพื่อเตรียมการให้รับบัพติสมา แต่ข้ายังหลบอยู่หลังหิน นั่งมองประชาชนเดินเรียงแถวไปหาท่าน ทั้งชาวบ้าน ทหาร คนเก็บภาษี และคนรับใช้ของฟาริสีล้วนดำเนินเป็นแถวเดียว พร้อมใจให้ท่านชำระบาปของพวกเขา พวกผู้ชายเปลื้องผ้าออก เหลือผ้าผืนเดียวพันสะโพกแล้วก้าวลงสู่สายธารไหลเอื่อย พนมมือ โน้มกาย ให้ยอห์นวักน้ำรดศีรษะ ก่อนจะจากไปด้วยรอยยิ้ม

ข้าเงยหน้ามองตะวัน ใกล้เที่ยงเหลือเกินแล้ว อีกไม่นาน ต่อให้หินใหญ่ก็ไม่สามารถบดบังข้าจากแดดได้อีก แม้กายพิสดารของข้าไม่ระคายต่อแสง ความร้อนจากเบื้องบนก็แผดเผาจนภาพในตาพร่ามัว ข้าป้องตามองถนน คลื่นมนุษย์ยังคงมุ่งหน้ามายังแม่น้ำด้วยจิตใจตั้งมั่น พวกเขามิได้ย่อท้อต่ออากาศอันเลวร้าย ทั้งยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนสองฝั่งธารไม่มีที่พอสำหรับทุกคน

ข้าควรยกที่ให้แก่ผู้มีศรัทธาแรงกล้า

คิดดังนั้นจึงจูงลาสวนขบวนคน เหยียบก้อนกรวดดังกรอบแกรบกลับไปยังถนน

ครั้นออกมายืนในที่โล่งก็เห็นชาวกาลิลีผู้หนึ่งเดินทอดน่องมาโดยลำพัง เขาสวมใส่อาภรณ์สีขาว ไม่มีรอยด่างดำสักจุด เมื่อสบตาเข้า เขาก็ส่งยิ้มให้ข้าเหมือนสนิทสนมกันมาเนิ่นนาน บุรุษผู้นี้คงมารับบัพติสมากระมัง

“จงดู!” ยอห์นตะโกนก้องแล้วผายมือมา “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า”

ข้าหันรีหันขวาง เห็นเพียงบุรุษแปลกหน้า ตัวข้า กับลาหนึ่งตัว

ไหนคือลูกแกะเล่า






- 4 -





ข้ามีโอกาสได้ฟังคำสั่งสอนของยอห์นอีกหลายหน ท่านสั่งสอนประชาชนให้ทำดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และยังบอกให้ประชาชนสำนึกในความผิดบาป ชายหญิงหลายคนเชื่อว่าท่านเป็นพระคริสต์ แต่ยอห์นปฏิเสธเขาทุกรายไป ท่านย้ำว่า “ข้ามิใช่พระคริสต์”

“ข้าไม่รู้จักพระองค์ แต่เพื่อให้พระองค์ทรงเป็นที่ประจักษ์ ข้าจึงมาให้เจ้ารับบัพติสมาด้วยน้ำฉะนี้ พระผู้ทรงใช้ข้ามาทำภารกิจอันยิ่งใหญ่ได้ตรัสว่า ‘เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสถิตอยู่บนผู้ใด ผู้นั้นแหละคือพระคริสต์’ และข้าก็บอกเจ้าตามตรงว่าข้าพบแล้ว ข้าเป็นพยานว่าพระบุตรของพระเจ้าเสด็จมายังโลกมนุษย์แล้ว”

ข้าเคารพคำสอนของยอห์นจึงรับมาใส่ใจไว้ หากแต่มิได้เอาใจใส่ในพระบุตร พระเจ้า และไม่เคยย่างเท้าลงแม่น้ำจอร์แดนเพื่อรับบัพติสมา เพราะสิ่งเหล่านี้ข้ายังไม่เห็นประโยชน์สักอัน

หนึ่งเดือนให้หลัง เฮโรเดียสก็เป่าหูเฮโรดให้จับยอห์น บัพติสต์ไปขังไว้ในคุกใต้ดิน ข้าจึงไม่ได้ไปที่ริมน้ำจอร์แดนอีก ได้ข่าวว่า ลูกศิษย์ของยอห์นแยกย้ายกันไป ส่วนผู้ศรัทธาล้วนแล้วแต่ทุกข์ตรมโหยไห้ ด้วยต่อแต่นี้พวกเขาจะไม่มีข่าวประเสริฐใดๆ เป็นเชื้อไฟแห่งความหวัง







กาลเวลาล่วงเลย จนกระทั่งวันหนึ่งนิโคเดมัสออกไปยังพระวิหาร เมื่อท่านกลับมาบ้านก็รีบเข้ามาหาข้าในห้องนอน ฉุดข้าออกจากกองหนังสือม้วน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ

“บุตรเอ๋ย ลองฟังสิ่งที่เขาเล่าลือกันไปทั่วสิ” นิโคเดมัสถอดผ้าคลุมศีรษะออกพาดไว้กับแขน “มีคนหนึ่งชาวกาลิลีเป็นโรคเรื้อนเรื้อรังทั้งตัว ผิวหนังทั้งแต่ศีรษะถึงเท้าขึ้นผื่นบวม เกิดด่างดวงสีขาวเต็มแผ่นหลัง ขนหงอก มีแผลสดกับฝีพุพองขึ้นข้อศอกข้อพับ เป็นที่รังเกียจแก่ผู้พบเห็น แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็มาแจ้งแก่ปุโรหิตว่าเขาหายจากโรคเรื้อนแล้ว และได้ถวายเครื่องบูชาสำหรับคนที่หายจากโรคด้วย พอปุโรหิตตรวจก็เห็นว่าเขาสะอาด หายจากโรคเรื้อนจริง จึงประกาศว่าเขาหมดมลทิน”

“ชายคนหนึ่งหายจากโรค มีอะไรแปลกพิสดารเล่า” ข้าย้อนถาม มิใคร่ใส่ใจนัก

“จู่ๆ เขาก็หายจากโรค” นิโคเดมัสผายมือ “เขาประกาศว่าเยซูชาวนาซาเร็ธรักษาเขาให้หาย”

“เยซูหรือ?”

“หลายคนเชื่อว่าท่านคือพระบุตรของพระเจ้าที่ยอห์นเอ่ยถึง เยซูชาวนาซาเร็ธผู้นี้รับบัพติสมาจากยอห์น ก่อนจะออกประกาศสั่งสอนตามศาลาธรรมทั่วแคว้นกาลิลีเริ่มจากเมืองคาเปอร์นาอุมเรื่อยมา ผู้คนกล่าวว่าท่านไล่ผีโสโครกออกจากชายคนหนึ่งได้เพียงพูดประโยคเดียว ท่านรักษาคนเจ็บคนพิการมากมายให้กลับมาแข็งแรง และยังมีข่าวลือว่าท่านแสดงปาฏิหาริย์ที่ทะเลสาบเยนเนซาเรทให้ชาวประมงทั้งหลายได้ประจักษ์”

“ปาฏิหาริย์อะไรเล่า?”

“เรือประมงสองลำทอดแหจับปลาในทะเลสาบตั้งแต่กลางคืนยันรุ่งแต่ไม่ได้ปลาสักตัว เยซูสั่งสอนประชาชนอยู่ริมทะเลสาบ เห็นเรือล่องเข้าเทียบท่าก็ออกไปบอกเจ้าของเรือว่าให้ถอยเรือออกไปที่น้ำลึก แล้วหย่อนอวนดักปลาอีกครั้ง เจ้าของเรือลองทำตามแม้จะไม่เชื่อถือคำของท่าน ทว่าหนหลังเขาได้ปลามาเต็มลำ ท่านบอกให้ชาวประมงทั้งสี่ติดตามท่านไป เขาเหล่านั้นจึงวางแหแล้วไปเป็นสาวกของท่านหมด”

“แล้วเขาจัดการกับปลาที่จับได้อย่างไรเล่า?”

นิโคเดมัสสบตาข้า “ยูดาส…”

ข้าละอายเพราะรู้ว่าตนทำตัวหยาบคาย

“เจ้าไม่เชื่อเรื่องที่ข้าเล่าหรือ?” ชายชราผู้เป็นดั่งบิดาของข้าถาม

“ลมปากชาวบ้านเชื่อไม่ได้ พวกเขาอาจจะพร่ำเพ้อไปเอง แต่ถ้าท่านเห็นจริง ข้าคงเชื่อแน่”

“ลองฟังดูสิ ลมปากของชาวบ้านบอกอีกว่า เยซูผู้นี้ถือกำเนิดที่บ้านเบธเลเฮม แต่ไปเติบโตที่นาซาเร็ธ”

“เบธเลเฮม…” บ้านเกิดของข้า

“หากเจ้าศึกษาพระวจนะ…”

“ข้าจำพระวจนะได้ ถึงตายก็ไม่มีวันลืม”

‘ผู้ครองแคว้นทั้งหลายมักมองข้ามบ้านเบธเลเฮมในแผ่นดินยูเดีย หากแต่บ้านเมืองนั้นหาใช่สถานซึ่งต้อยต่ำกว่าบ้านเมืองอื่นไม่ กษัตริย์จะทรงบังเกิดที่นั่น เขาคือผู้ครอบครองชนชาติของเรา’

กษัตริย์ผู้นำวิบัติมาสู่บ้านเกิดเมืองนอนของข้า

กษัตริย์ผู้ทรงบังเกิดบนคราบเลือดและเสียงร้องระงมของทารกไร้เดียงสา

ขอบตาของข้าร้อนผ่าว ข้าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวที่ถูกเข่นฆ่า เพราะยามนั้นข้าอ่อนวัยเกินกว่าจะจดจำไออุ่นของบิดามารดาด้วยซ้ำ แต่ใบหน้าหมองเศร้าของซามูเอลก็บอกเล่าความโหดร้ายในคราวนั้นได้ไม่รู้จักหมด ยามที่เขาโอบกอดข้าด้วยท่อนแขนสั่นเทา ยามที่เขาร่ำไห้ถึงซีโมนผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาของข้า ข้ารู้สึกเหมือนความหม่นหมองหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของข้าด้วย น้ำตาของเขาเย็นเฉียบ แต่น้ำตาของข้าแทบลุกเป็นไฟ

อดีตตอกย้ำให้ข้าจำฝังใจ พระเจ้าทรงรักบุตรของพระองค์ แต่ทรงปล่อยให้เราตาย

“ถ้าเยซู ชาวนาซาเร็ธเป็นกษัตริย์ดังว่า เขาควรค่าแล้วจริงหรือ”

“อย่ามัวฟังคำเขาบอกมาอยู่เลย ทำไมเจ้าไม่ไปดูให้เห็นกับตาเล่า” นิโคเดมัสประคองไหล่ข้าด้วยมือข้างหนึ่ง ใบหน้าเหี่ยวย่นแต้มยิ้มละไม “บุตรเอ๋ย ข้าเชื่อถือเจ้ากว่าใคร เจ้าเห็นเช่นไร ข้าก็เห็นตามเช่นนั้น”





ข้าออกเดินทางไปเมืองคาเปอร์นาอุมพร้อมบ่าวคนหนึ่งชื่อโยอาคิม โยอาคิมอายุยังน้อยแต่ขยันขันแข็งและไว้ใจได้ เขาเจนเส้นทางยิ่งนักเพราะบ้านเกิดเขาอยู่ที่กาลิลี ข้าขี่ลาตัวผู้แข็งแรง ส่วนโยอาคิมจูงลาบรรทุกของ เราแวะพักในสะมาเรียหลายหนและพักที่นาซาเร็ธ ก่อนจะตรงดิ่งไปยังเมืองคาเปอร์นาอุม

ระหว่างทาง ข้าได้ฟังเรื่องเล่าปาฏิหาริย์หลายอย่าง อาทิ เยซูชาวนาซาเร็ธพยุงหญิงชราคนหนึ่งขึ้นจากเตียงแล้วนางก็หายป่วยทันที บ้างก็ว่าเพียงแค่คนพิการได้รับสัมผัสจากเยซู อวัยวะที่สึกหรอก็ถูกซ่อมแซมเสียใหม่ ชาวบ้านสรรเสริญว่าเขาเป็นพระบุตรของพระเจ้า ยิ่งได้ยินหลายเสียงเข้า ข้าก็ยิ่งกระสันอยากเห็นว่าแท้จริงต้นตอของปาฏิหาริย์เป็นเช่นไร

ข้าชักลาเข้าเมืองคาเปอร์นาอุมหลังตะวันตกดินแล้วลงเดินเท้า ให้โยอาคิมล่วงหน้าไปหาที่พักก่อน ส่วนข้าค่อยๆ จูงลาที่หิวโหยให้ลากสังขารไปตามท้องถนน ข้าแน่ใจว่าได้ยินเสียงเครื่องดนตรีแว่วมาจากทางเหนือ แต่ไม่เห็นใครสักคน ประตูทุกบานงับเงียบเชียบราวกับผลักไสคนแปลกหน้า หากเป็นเช่นนี้ ชะรอยบ่าวของข้าคงถามหาที่พักไม่ได้กระมัง

หลังจากเดินเตร็ดเตร่อยู่นาน โยอาคิมก็จูงลากลับมาหาข้า “ชาวบ้านรวมกลุ่มกันอยู่หน้าบ้านของคนเก็บภาษี นายท่านมาดูสีหน้าของพวกเขาสิ”

ข้าตามเขาไป แล้วก็เห็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่ยืนล้อมรอบบ้านหลังหนึ่ง เสียงเพลงดังมาจากภายในบ้านนี้เอง

ผู้คนมัวแต่จ้องมองประตูบ้านเขม็ง ใบหน้าถมึงทึง ไม่มีใครสังเกตเห็นคนต่างถิ่นเช่นข้าเลย

“ในบ้านนั้นคงมีงานฉลอง” โยอาคิมคาดเดาแล้วยื่นหน้าไปถามชายที่ยืนถัดจากเขา “เกิดอะไรขึ้นที่นี่หรือ?”

“ท่านอาจารย์ดื่มกินอยู่ในเรือนของมัทธิว” ชายนั้นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ผู้คนที่นี่เกลียดชังคนเก็บภาษีทั้งนั้น”

“อาจารย์ที่ว่านี้คือเยซูชาวนาซาเร็ธหรือ?” ข้าถามบ้าง

“ท่านเข้าใจถูกแล้ว ดูนั่นสิ” ชายนั้นชี้ให้ดูผ่านหน้าต่าง “คนที่นั่งอยู่ริมสุดคือท่านอาจารย์ ทางซ้ายเป็นศิษย์ของท่าน ที่นั่งเผชิญหน้ากับท่านคือมัทธิวเจ้าบ้าน”

ข้าระลึกได้ว่า ข้าเคยพบชายคนหนึ่งที่ริมแม่น้ำจอร์แดนในวันแรกที่ข้าไปฟังยอห์นประกาศข่าวประเสริฐ ชายผู้นั้นไว้ผมยาวประบ่า ใบหน้าคมสัน รูปร่างสูงกำยำ หนแรกข้าเดาเอาว่าเขาทำงานใช้แรง แปลกตรงที่เขาสวมอาภรณ์สีขาวยาวรุ่มร่าม ผ้าทั้งผืนไม่เปรอะเปื้อนสักจุดผิดจากคนงานทั่วไป นัยน์ตามุ่งตรงเหมือนม้าศึกที่ถูกฝึกมาอย่างดี ทั้งอ่อนน้อม รู้งาน กล้าหาญและมีไหวพริบ เพียงอ่านตามิอาจอ่านใจได้ว่าจะโลดโผนไปทางใด แต่หาได้ปรากฏแววอำมหิตไม่ ท่วงท่าเดินเหินงามสง่า รอยยิ้มอารีอารอบประดับข้างมุมปาก มองแล้วให้ใจสงบยิ่ง ชายผู้นั้นคือเยซูชาวนาซาเร็ธผู้ปรากฏต่อหน้าข้าหนนี้แน่แท้ ข้าไม่มีวันจำคนผิด

แสงไฟย้อมผนังเรือนเป็นสีส้มอมแดง มีภาพเงาหญิงนักเต้นรำฉวัดเฉวียนตามทำนองเพลง แต่พวกผู้ชายมิได้ชายตาแลนักเต้นแม้แต่น้อย พวกเขาจ้องดูเยซูเป็นตาเดียว ครู่ต่อมา เสียงเพลงก็หยุด นักดนตรีและนักเต้นทรุดนั่งลงเบื้องหลัง ข้าเห็นเยซูสนทนากับมัทธิว แล้วก็หันไปพูดกับบรรดาศิษย์ของเขา

“ซีโมน!”

ชายชราคนหนึ่งในกลุ่มชาวบ้านส่งเสียงตวาดแล้วก้าวออกมายืนหน้าสุด คู่สนทนาของข้ากระซิบบอกว่าชายชราผู้นี้เป็นพวกฟาริสี

ลูกศิษย์ของเยซูมองออกมานอกหน้าต่างด้วยใบหน้าตื่นตระหนก

“ทำไมเจ้าถึงรับประทานอาหารด้วยกันกับคนเก็บภาษีเล่า” ฟาริสีเฒ่าตะโกนถาม ชาวบ้านส่งเสียงอื้ออึงสนับสนุนเขายกใหญ่

ซีโมนคือลูกศิษย์คนหนึ่งของเยซู เป็นชายร่างสูงใหญ่ แววตาสีนิลเปล่งประกายดุดัน เขาโต้ตอบว่า “เพราะอาจารย์ของข้านั่งอยู่นี่ มิฉะนั้นข้าคงไม่ยอมลดตัวมาร่วมโต๊ะกับพวกขายชาติ”

มัทธิวเจ้าของบ้านชักสีหน้า “ข้าแค่อยากฟังท่านอาจารย์สั่งสอนเท่านั้น ไม่ได้เชิญเจ้ามาร่วมโต๊ะเสียหน่อย”

เด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ถัดไปแตะมือซีโมน “พี่ซีโมน อย่ามีเรื่องกันเลย ท่านอาจารย์ก็นั่งอยู่นี่”

ซีโมนพ่นลมหายใจฮึดฮัด “โธ่ ยอห์น… เจ้าก็ได้ยินที่เขาว่า”

“ท่านอาจารย์สอนให้เรารักศัตรูและอธิษฐานเพื่อคนที่เราเกลียดชัง” ยอห์นผู้นี้มีใบหน้าอ่อนเยาว์น่ามองแลน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟังนัก “หากเรารักเพียงคนที่รักเราจะมีประโยชน์อะไร แม้แต่คนเก็บภาษีก็ทำเช่นนั้นมิใช่หรือ หากเราทักทายเพียงพี่น้อง เราจะพิเศษกว่าคนทั้งปวงอย่างไร ในเมื่อคนบาปก็ทักทายพี่น้องของตนทั้งนั้น”

“ข้าจำได้หรอกน่า แต่…” ซีโมนเหลือบมองอาจารย์ของเขา

เยซูจิบเหล้าองุ่นแล้วก็ยิ้ม “ที่ยอห์นว่ามานั้นถูกแล้ว พระบิดาบนสวรรค์ยังให้ดวงอาทิตย์สาดแสงแก่คนดีและคนชั่ว ให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรมเสมอกัน จงรักศัตรู แล้วเจ้าจะได้เป็นบุตรของพระเจ้า”  เยซูลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินอ้อมมาหยุดข้างหน้าต่าง วางมือลงบนขอบหน้าต่างพร้อมกับโน้มกายลงจนสายตาประสานกับฟาริสีเฒ่าพอดี

“ท่านสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงร่วมรับประทานอาหารกับคนเก็บภาษีใช่หรือไม่”

ฟาริสียืดตัวตรง “ใช่”

เยซูยิ้มกริ่ม “เพราะคนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายดีไม่ต้องการ” รอยแย้มยิ้มยิ่งกว้างเมื่อเห็นชาวบ้านไม่เข้าใจคำของตน “ข้าไม่ได้มาเพื่อเรียกคนที่เห็นว่าตนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต”

“อาจารย์ท่านหมายความว่าอย่างไรหรือ?” โยอาคิมลอบกระซิบถามข้า “คนนอกรีตเท่านั้นที่ต้องการการรักษาเช่นนั้นหรือ?”

“นั่นเป็นข้อหนึ่ง แต่คนที่คิดว่าตนรู้ ย่อมไม่รู้ว่าตนเขลา คนที่คิดว่าตนเบาปัญญาจึงจะขวนขวายหาความรู้” ข้าตอบ

“โธ่ นายท่าน” โยอาคิมดึงริมฝีปาก “คนโง่อย่างข้าไม่เข้าใจดอก”

ข้ายิ้มเอ็นดู “เจ้าเป็นคนประเภทหลัง ส่วนเขาเป็นคนประเภทแรก” ข้าพยักพเยิดไปทางฟาริสี

ฟาริสีเฒ่าโมโหจนหน้าแดง เขากำหมัดแน่นแล้วล่าถอยไป หลีกทางให้ชายสองคนก้าวออกมาแทน ข้าจำสองคนนี้ได้ พวกเขาเป็นศิษย์ของยอห์น บัพติสต์

“ท่านอาจารย์ พวกข้าขอถามท่านบ้าง” ชายคนหนึ่งกล่าว “ศิษย์ของยอห์นและฟาริสีล้วนถืออดอาหาร อีกทั้งยังอธิษฐานเป็นกิจวัตร ไฉนศิษย์ของท่านจึงไม่ถือ”

“พวกท่านจะให้สหายของเจ้าบ่าวถืออดอาหารในเวลาที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับพวกเขาหรือ? วันหนึ่งเจ้าบ่าวจะจากพวกเขาไป เมื่อนั้นแหละคือเวลาที่สหายของเจ้าบ่าวจะถืออดอาหาร ไม่มีใครฉีกเสื้อใหม่มาปะเสื้อเก่า ถ้าทำเช่นนั้น เสื้อใหม่จะเสีย ทั้งท่อนผ้าที่นำมาปะก็ไม่สมกับเสื้อเก่าด้วย ไม่มีใครนำน้ำองุ่นหมักใหม่มาใส่ถุงหนังเก่า เพราะน้ำองุ่นหมักใหม่จะทำให้ถุงขาดแถมน้ำองุ่นยังรั่วหายหมด น้ำองุ่นหมักใหม่ต้องใส่ถุงหนังใหม่ แต่ใครที่เคยดื่มน้ำองุ่นเก่าย่อมไม่อยากดื่มน้ำองุ่นหมักใหม่ เขามักว่าของเก่าหอมดีแล้ว”

เยซูจิบเหล้าองุ่น ท่าทางสำราญใจที่ได้เห็นชาวบ้านพากันอ้าปากค้าง เขายิ้มกับตนเองแล้วหันมาทางข้า เวลานั้นโยอาคิมกำลังรบเร้าให้ข้าอธิบายคำพูดของเขาพอดี

“เวลานี้ไม่ใช่เวลาสำหรับการอดอาหาร แต่เป็นเวลาที่สำคัญสำหรับเผยแผ่คำสอนให้คนดีคนบาปทราบกันถ้วนหน้า กฎบัญญัติเก่าก็ดี กฎบัญญัติใหม่ก็ดี สองอย่างนี้เอามาปนกันไม่ได้ คนที่ชอบใจปฏิบัติตามกฎบัญญัติเก่าอย่างเคร่งครัดมักปฏิเสธกฎใหม่ เพราะเขาว่าของเก่านั้นดีแล้ว” ข้าอธิบายอย่างหงุดหงิดเหลือทน

บ้าหรือเปล่า เรื่องแค่นี้จะพูดให้เข้าใจยากทำไม

ทว่าศิษย์ของยอห์นไม่ยอมล่าถอยง่ายๆ “น… นอกจากนี้ ศิษย์ของท่านยังเด็ดรวงข้าวมากินในวันสะบาโตด้วย นั่นเป็นการกระทำต้องห้ามในวันสะบาโตมิใช่หรือ”

เยซูเผชิญกับข้อกล่าวหาอีกข้อหนึ่ง ชาวบ้านรอฟังคำตอบด้วยใจดจ่อแม้จะฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ตาม

“ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านเรื่องนี้อีกหรือ?” เยซูแสดงสีหน้าประหลาดใจ

เอาอีกแล้วไง

“ที่ดาวิดได้กระทำเมื่ออดอยาก ท่านพาพรรคพวกเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า ให้พรรคพวกทานขนมปังหน้าพระพักตร์ ท่านเองก็ทานด้วย ทั้งที่กฎหมายห้ามมิให้ผู้ใดรับประทานนอกจากปุโรหิต” แล้วเยซูก็บอกแก่เขาว่า “วันสะบาโตนั้น พระเจ้าทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่ทรงสร้างมนุษย์ไว้สำหรับวันสะบาโต ด้วยเหตุนี้บุตรมนุษย์จึงเป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโตด้วย”

ศิษย์ของยอห์นไม่เลิกราวี “นอกจากศิษย์ของท่าน ตัวท่านยังละเมิดเองด้วย ท่านรักษาชายแขนลีบข้างหนึ่งในวันสะบาโตต่อหน้าพวกธรรมาจารย์”

เยซูสวนทันควัน “ข้าขอถามพวกท่านหน่อยเถิด ในวันสะบาโต ควรทำดีหรือทำการร้าย ควรช่วยคนหรือผลาญชีวิต?”

ไม่มีใครตอบ เพราะพวกเขากลัวผิดเป็นสันดาน นัยน์ตาของเยซูจึงวาวโรจน์ขึ้นด้วยความหงุดหงิดและผิดหวัง

“พอเสียที!” ข้าโพล่งออกไปเนื่องจากรำคาญเหลือจะทน พูดยากว่ารำคาญฝ่ายไหนแน่

ทุกคนหันมามองข้าเป็นตาเดียว โยอาคิมหลบไปยืนหลังลา ฝ่ายศิษย์ของยอห์นคนหนึ่งจำข้าได้จึงเอ่ยถามว่า “ข้าเคยเห็นท่าน ท่านไปที่ริมน้ำจอร์แดนใช่ไหม?”

ข้าว่าใช่ เขาจึงถามข้าว่าเห็นควรมิควรอย่างไรกับการละเมิดวันสะบาโต

“ยอห์นสอนว่า เราควรทำดีทุกวัน การช่วยเหลือคนเจ็บก็เป็นการทำดี แล้วไยฝืนงดเสียเพราะเห็นแก่วันสะบาโตเล่า” ข้าตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “หากแกะของเจ้าหลงหายไปในวันสะบาโต เจ้าจะไม่ตามหาหรือ? หากตั๊กแตนบุกรุกที่นาของเจ้าในวันสะบาโต เจ้าจะไม่ปกป้องรวงข้าวหรือ? หากบุตรของเจ้าเจ็บป่วยในวันสะบาโต เจ้าจะปล่อยให้เขาทรมานจนถึงวันถัดไปหรือไร? หากเจ้ารักบุตรของตนได้ ก็อย่ากล่าวหาเมื่อเห็นผู้อื่นดูแลบุตรของเขาเลย”

ศิษย์ของยอห์นสบตากันก่อนจะจากไปอย่างเงียบเชียบ

ข้าทอดถอนใจ แล้วก็เอ่ยเรียกโยอาคิม ข้าเหนื่อยเหลือเกิน จึงสั่งให้บ่าวรีบหาที่พักให้

“อย่าเพิ่งไป” เยซูตะโกนรั้งข้าไว้ “เจ้าชื่ออะไร?”

ข้าหันไปสบตาเขา “ยูดาส บุตรซีโมน อิสคาริโอท”

“ขอบคุณ” เขายิ้ม

“ไม่เป็นไร” ข้าปีนขึ้นลา

“เดี๋ยว” เยซูกระโดดออกจากหน้าต่างแล้วตรงมาหาข้า “เดี๋ยวก่อน ยูดาส”

ข้ายอมดึงบังเหียนหยุดลา แต่หน้าตาบ่งบอกว่าไม่อยากเสวนาด้วย “ท่านต้องการอะไร?”

เยซูยื่นมือทั้งสองออกมาเบื้องหน้า

“ข้าต้องการเจ้า…ยูดาส”




**********


สั่งจองได้ที่ http://verellie.blogspot.jp/2014/11/kiss-of-lamb.html

No comments:

Post a Comment